Monday, October 12, 2009

รายชื่อตำบล ในจังหวัดพิษณุโลก

วันนี้ว่างๆ นะ เลยหารายละเอียดเกี่ยวกับจังหวัดบ้านเกิดซักหน่อย พบว่า มีรายชื่อตำบลที่บางอัน ไม่เคยได้ยินเลยก็มี จึงมารวบรวมแล้วแปะไว้ก่อนดีกว่าเน้อ

จังหวัดพิษณุโลก มี 9 อำเภอ ได้แก่ ....
01 - อำเภอเมือง
ตำบลในเมือง
ตำบลวังน้ำคู้
ตำบลวัดจันทร์
ตำบลวัดพริก
ตำบลท่าทอง
ตำบลท่าโพธิ์
ตำบลสมอแข
ตำบลดอนทอง
ตำบลบ้านป่า
ตำบลปากโทก
ตำบลหัวรอ
ตำบลจอมทอง
ตำบลบ้านกร่าง
ตำบลบ้านคลอง
ตำบลพลายชุมพล
ตำบลมะขามสูง
ตำบลอรัญญิก
ตำบลบึงพระ
ตำบลไผ่ขอดอน
ตำบลงิ้วงาม
02 - อำเภอนครไทย
ตำบลนครไทย
ตำบลหนองกะท้าว
ตำบลบ้านแยง
ตำบลเนินเพิ่ม
ตำบลนาบัว
ตำบลนครชุม
ตำบลน้ำกุ่ม
ตำบลยางโกลน
ตำบลบ่อโพธิ์
ตำบลบ้านพร้าว
ตำบลห้วยเฮี้ย
03 - อำเภอชาติตระการ
ตำบลป่าแดง
ตำบลชาติตระการ
ตำบลสวนเมี่ยง
ตำบลบ้านดง
ตำบลบ่อภาค
ตำบลท่าสะแก
04 - อำเภอบางระกำ
ตำบลบางระกำ
ตำบลปลักแรด
ตำบลพันเสา
ตำบลวังอิทก
ตำบลบึงกอก
ตำบลหนองกุลา
ตำบลชุมแสงสงคราม
ตำบลนิคมพัฒนา
ตำบลบ่อทอง
ตำบลท่านางงาม
ตำบลคุยม่วง
05 - อำเภอบางกระทุ่ม
ตำบลบางกระทุ่ม
ตำบลบ้านไร่
ตำบลโคกสลุด
ตำบลสนามคลี
ตำบลท่าตาล
ตำบลไผ่ล้อม
ตำบลนครป่าหมาก
ตำบลเนินกุ่ม
ตำบลวัดตายม
06 - อำเภอพรหมพิราม
ตำบลพรหมพิราม
ตำบลท่าช้าง
ตำบลวงฆ้อง
ตำบลมะตูม
ตำบลหอกลอง
ตำบลศรีภิรมย์
ตำบลตลุกเทียม
ตำบลวังวน
ตำบลหนองแขม
ตำบลมะต้อง
ตำบลทับยายเชียง
ตำบลดงประคำ
07 - อำเภอวัดโบสถ์
ตำบลวัดโบสถ์
ตำบลท่างาม
ตำบลท้อแท้
ตำบลบ้านยาง
ตำบลหินลาด
ตำบลคันโช้ง
08 - อำเภอวังทอง
ตำบลวังทอง
ตำบลพันชาลี
ตำบลแม่ระกา
ตำบลบ้านกลาง
ตำบลวังพิกุล
ตำบลแก่งโสภา
ตำบลท่าหมื่นราม
ตำบลวังนกแอ่น
ตำบลหนองพระ
ตำบลชัยนาม
ตำบลดินทอง
09 - อำเภอเนินมะปราง
ตำบลชมพู
ตำบลบ้านมุง
ตำบลไทรย้อย
ตำบลวังโพรง
ตำบลบ้านน้อยซุ้มขี้เหล็ก
ตำบลเนินมะปราง
ตำบลวังยาง

Friday, October 9, 2009

รวบรวมบทความ การสร้างธุรกิจส่วนตัว (2)

ราเมศวร์ ศิลปพรหม


วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2552
บทบาทอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์กับการผลิตนักพัฒนาซอฟต์แวร์ไทย

รายการ สุรนันทน์วันนี้ ออกอากาศเมื่อวันที่ 7 ก.ย. มี คุณราเมศวร์ ศิลปพรหม ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซอฟต์สแควร์ 1999 จำกัด มาร่วมสนทนาถึง อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทย กับการผลิตนักพัฒนาซอฟต์แวร์

สุรนันทน์ : วงการไอที มันเปลี่ยนไปมากในความรู้สึกของผม คุณราเมศวร์เป็นคนที่อยู่ในวงการนี้มาตั้งแต่แรก มันเปลี่ยนไปอย่างไรบ้างครับในสายตาคุณราเมศวร์

ราเมศวร์ : สิ่งที่มันเปลี่ยนคือเทคโนโลยี ซึ่งมันเปลี่ยนเร็วมาก 20 ปี มันเปลี่ยนมา 3 ยุคแล้ว ฮาร์ดแวร์ก็มีความเร็วที่สูงขึ้นมีความสามารถมากขึ้น ที่สำคัญคือตัวที่ให้มันทำงานได้จริงๆคือซอฟต์แวร์ ซอฟต์แวร์มันก็เปลี่ยนมา 3-4 ยุคแล้ว

สุรนันทน์ : มองไปข้างหน้าโลกมันเป็นอย่างไร เมืองไทยจะเป็นอย่างไร

ราเมศวร์ : คือสมัยก่อนเรารู้สึกว่าโลกดิจิตอล มันเหมือนความฝัน เหมือนกับสมัยที่เราบอกว่าจะไปดวงจันทร์ ตอนนี้ความฝันมันสามารถเป็นเศรษฐกิจได้หลายเรื่อง เช่น เราบอกว่าเรามีร้านค้าอยู่ในอินเตอร์เน็ต เรามีคนอยู่ในอินเตอร์เน็ตเข้าไปใช้งานได้ มันซื้อขายกันได้จริง มีธุรกิจเกิดขึ้นจริง ซึ่งเมื่อก่อนนี้เรารู้สึกว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ เราจะคิดได้อย่างไรว่าเงินจะเป็นดิจิตอล

สุรนันทน์ : แสดงว่าที่เขาบอกว่าอีกหน่อยเราจะอยู่หน้าจอกันตลอด จะจอใหญ่จอเล็กจอมือถือ มันจริงใช่หรือเปล่า

ราเมศวร์ : ผมว่าอาจจะเกินครึ่งของวัน ของชีวิต เช่นเราจะดูทีวีก็มีโทรศัพท์มือถือ เราจะคุยกับเพื่อนก็ใช้มือถือ เราจะอ่านหนังสือพิมพ์ก็กดขึ้นเป็นหน้าจอหนังสือพิมพ์เป็นอินเตอร์เน็ตเยอะ แยะไป เรียนหนังสือก็อินเตอร์เน็ตได้เพราะฉะนั้นเรียนหนังสือก็อยู่ในบ้านไม่ต้อง ไปไหน แล้วตอนนี้มันเป็นทูเวย์แล้ว

สุรนันทน์ : ถ้าโลกเป็นอย่างนั้นคุณราเมศวร์มองประเทศไทยอยู่ที่จุดไหน

ราเมศวร์ : มองภาพรวมนะครับ เนื่องจากเรามีทั้งกรุงเทพฯมีต่างจังหวัด มันแตกต่างกันเยอะ เพราะฉะนั้นถ้าเราอยากจะสร้างประเทศเราให้ทัดเทียมเขาเราต้องออกไปสร้างข้าง นอกกรุงเทพฯ คือเราก็ต้องเริ่มจากเปลี่ยนความคิด เดิมเราจะทำ IT City รัฐบาลทั้งหลายก็จะบอกว่าทำที่กรุงเทพฯ ขอนแก่น ภูเก็ต ไม่มีใครคิดว่า IT City จะทำที่แม่ฮ่องสอน ทำที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำที่น่าน

สุรนันทน์ : แต่จริงๆมันอยู่ที่ไหนก็ได้ มันคุ้มทุนหรือเปล่า

ราเมศวร์ : เพราะคุ้มทุนเราพูดถึงการลงทุนกับผลตอบแทน เพราะฉะนั้นการลงทุนในที่ที่มันมีโอกาสจะได้ผลตอบแทนสูงกว่าก็ไม่แน่เสมอไป ว่าจะต้องอยู่เมืองใหญ่ เพราะว่าเศรษฐกิจฐานความรู้มันเกิดจากความรู้ จากสมองคน คนอยู่นอกเมืองถ้าเราทำให้คนนอกเมืองส่วนใหญ่มีฐานความรู้ตรงนั้นต้องใหญ่ กว่าแน่นอน

สุรนันทน์ : อย่างที่คุณราเมศวร์ว่าตัวไม่ต้องอยู่ตรงนั้น อยู่ที่ไหนก็ได้มันติดต่อได้ ซึ่งไปสร้างความเจริญให้เขาด้วย แล้วด้านกายภาพเป็นอย่างไร

ราเมศวร์ : ผมไม่ได้พูดมุมเดียว มิติเดียว กายภาพก็คือคนไม่ว่าจะขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ เขาบอกว่าคนเป็นทรัพย์สินที่สำคัญ ถ้าทรัพย์สินมันสำคัญ คนส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ในเมือง มันอยู่ข้างนอก ถ้าเราไปลงทุนข้างนอกเราน่าจะลงทุนต่ำกว่า แต่ได้ผลตอบแทนสูงกว่า เช่นเราจะเขียนซอฟต์แวร์ ถ้าผมจ้างคนในเมืองจบปริญญาตรีใหม่ๆเดือนละ 16,000 บาท ทำอะไรไม่เป็น แต่ถ้าผมจ้างที่แม่ฮ่องสอนเหลือแค่ 7,000 บาทเอง

สุรนันทน์ : แล้วแม่ฮ่องสอนมีคนหรือเปล่า

ราเมศวร์ : มีครับทุกที่ในประเทศไทยเรามีคนหมด แต่เรารู้จักที่จะสร้างค่าให้เขาหรือเปล่า เพราะว่าทุกที่เหมือนกันหมดคือเกิดมาก็ไม่มีใครรู้อะไรทั้งนั้น อาชีพซอฟต์แวร์ในเมืองไทยมันมีตลาดอยู่ประมาณ 70,000 ล้านบาท แล้วก็มีคนอยู่ประมาณ 70,000 คน แปลว่าคนหนึ่งมีรายได้เฉลี่ย 1 ล้าน แล้ว 20% ไม่มีความรู้ทางด้านซอฟต์แวร์เลย เพราะว่าต้องมาเขียนคู่มือ ต้องไปฝึกอบรมการใช้งาน แล้วที่ทำได้มีอยู่ 4 อย่าง เขียนโปรแกรม, ออกแบบโปรแกรม, ฝึกอบรมการใช้โปรแกรม ,บริหารโครงการ คือทำอย่างไรที่จะเอาความรู้ไปให้ ยกตัวอย่างขนมหม้อแกงทำอย่างไรมันจะได้เงิน ถ้าคุณรู้ในการวาดรูปทำอย่างไรจะได้เงิน ถ้าคุณรู้ในการเป็นไกด์ทำอย่างไรจะได้เงินเยอะกว่าเดิม

สุรนันทน์ : ผมทำหม้อแกงผมก็ไปขายตลาด ในโลกดิจิตอล ความรู้ของคุณราเมศวร์มันขายที่ไหน มันก็ขายตลาดเหมือนเดิมไม่ใช่หรือ

ราเมศวร์ : การได้เงินเพิ่มเรามองส่วนตัวกับส่วนรวม เช่นถ้าเราคิดแบบเดิมๆคือเราชอบใช้คำว่าคู่แข่ง คือจะทำอะไรกลัวเขารู้ เดี๋ยวเขาทำเหมือนกันแล้วมาแข่งกับเรา แต่ความจริง ขนมหม้อแกงสมมติผมจะมีปัญญาทำสักล้านถาดหรือเปล่า ผมก็ทำไม่ได้ แต่ถ้าผมขึ้นอินเตอร์เน็ตไปมีคนสั่งมาล้านถาด ถ้าผมมีเพื่อนที่ผมไปสอนเขาทำขนมหม้อแกง ผมอาจจะต้องเลิกทำเลยเพราะผมเป็นคนที่ทำขนมหม้อแกงหม้อแกงที่ดีที่สุดในโลก ถ้าผมสอนเขาผมจะไม่ต้องทำ เพราะลูกค้าเชื่อว่าผมเก่งที่สุดในโลกแล้วผมก็เป็นคนขาย เขาก็เป็นคนทำ แต่ผมทำได้ทีละ 20 ถาด ต่อวัน ถ้าเพื่อนในหมู่บ้านผมช่วยทำมันก็ได้วันละ 1,000 ถาด ผมได้เยอะกว่าเดิมเพื่อนก็ได้เยอะด้วย

สุรนันทน์ : ขนมหม้อแกงที่คุณราเมศวร์ได้เปรียบก็คือคุณราเมศวร์มีความรู้

ราเมศวร์ : แล้วมีความไว้วางใจด้วย ทั้งเพื่อนในหมู่บ้าน และความไว้วางใจที่ลูกค้าเขามั่นใจว่าผมไม่หลอกเขา และคนอื่นอาจจะทำได้อร่อยไม่เท่าผมแต่ว่าเขาจะมีความหลากหลายในความอร่อย มากกว่าผมคนเดียว เพราะแต่ละคนก็มีวิธีใส่สูตรเล็กๆน้อยๆที่ไม่เหมือนกัน

สุรนันทน์ : ถ้าผมสรุปที่คุณราเมศวร์พูดคือจริงๆไม่ได้สลับซับซ้อนอะไร แต่ต้องมีทัศนะคติใหม่ในการเรียนรู้ในโลกนี้

ราเมศวร์ : ผมคิดว่ามีอยู่ 4 อัน อันแรก Open คือรู้อะไรแล้วเปิดเผย อันที่ 2 คือ Pairing คือเคียงข้าง อย่าคิดว่าเราเก่งกว่าคนอื่น คนที่รู้ดีกว่าเราอาจจะมีเยอะแยะซึ่งมันไม่จำเป็นจะต้องเป็นคนคนเดียว มันคือการร่วมกันเพราะองค์ความรู้มันหลากหลาย อันที่ 3 Sharing คือแบ่งปันอย่าโลภ คือมีอะไรให้คนอื่น ยิ่งให้ยิ่งได้ อันสุดท้ายคือ Acting Global คือจะทำอะไรต้องมองระดับโลก เช่นขนมหม้อแกงทำอย่างไรมันจะขายได้ทั้งโลก ซึ่งเวลาคิดเราคิดไปทีละนิดได้ แล้วอย่าคิดคนเดียวหาคนอื่นมาช่วยคิดด้วย

สุรนันทน์ : Creative Economy คืออะไร เศรษฐกิจสร้างสรรค์ มันต่อจากที่เราคุยหรือเปล่า

ราเมศวร์ : ผมคิดว่ามันก็เชิงความรู้ แต่ว่าความรู้มันมีหลายทางมาก ถ้าเรานำมาทำให้เกิดเศรษฐกิจ ก็คือมีรูปแบบธุรกิจ เพราะฉะนั้นเราต้องออกแบบรูปแบบธุรกิจ ผมยกตัวอย่างว่า หลายอย่างคนจ่ายเงินไม่ได้ใช้คนใช้ไม่ได้จ่ายเงิน ซึ่งมันก็แปลกปกติอยากจะขายอะไรผมก็ต้องไปหาคนซื้อแล้วก็เอาเงินแลกกับของ แต่เดี๋ยวนี้มันไม่ใช่แล้ว เช่นเราใช้อินเตอร์เน็ตเราจ่ายเงินหรือเปล่าเราก็ไม่ได้จ่ายเงิน เราเข้าไปดู ยูทูป ไม่เห็นต้องจ่ายเงิน ถ้าเป็นเชิงสร้างสรรค์สมมติจะทำซอฟต์แวร์ ถ้าเป็นสมัยก่อนผมต้องทำซอฟต์แวร์แล้วมาขายลูกค้าโดยตรง เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ผมยกตัวอย่างเด็กนักเรียนถ้าผมไปให้เขาทำซอฟต์แวร์ หรือทำเว็บขึ้นมาอันหนึ่ง ถ้าเป็นสมัยเดิมๆต้องไปรับจ้างทำเว็บให้กับลูกค้าหนึ่งราย แต่ตอนนี้เราไม่ เราจะเชิญเขามาแล้วบอกว่าเป็นเด็กทำ คุณเป็นเจ้าของรีสอร์ทเล็กๆในแม่ฮ่องสอน เราไม่ได้ขอให้เขาจ้างงานเด็ก แต่เราบอกว่าเราจะจัดแข่งขันเขียนเว็บให้กับเด็ก 11 โรงเรียน คุณให้โจทย์เลยว่ารีสอร์ทคุณจะมีเมนูอาหารอย่างไรคุณเอามาให้เด็ก แล้วเมนูที่เด็กทำคุณเป็นกรรมการ ชนะเลิศให้ 3,000 บาท รองชนะเลิศ 2,000 บาท ที่สาม 1,000 บาท คุณไม่ได้จ่ายเงินค่าซื้อแต่คุณต้องการสนับสนุนการเขียนเว็บของเด็กเป็นทุน การศึกษา

สุรนันทน์ : มันก็คือสะท้อนเรื่องของชุมชนให้อยู่ด้วยกันได้ ไม่ใช่เป็นธุรกิจระหว่างคุณราเมศวร์กับผมสองคน มันจะออกมารูปนี้เลยหรือเปล่า

ราเมศวร์ : คือเด็กได้เงิน สมมติว่าเราประกวดเดือนละครั้ง มันมีเงินหมุนแล้ว 6,000 บาทต่อหนึ่งราย ถ้าเรามีรีสอร์ท 100 แห่ง มันก็ต้องมีแล้ว 600,000 ต่อเดือน ขณะเดียวกันผมก็บอกว่าคุณอยากจะดูงานหรือเปล่า เป็นเทคโนทัวร์ลิส มาดูวิธีการเขียนเว็บของเด็กผมจัดเดือนละ 2 ครั้ง ต้องจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินหรือเปล่า ต้องทานอาหารหรือเปล่า เกิดทัวร์ขึ้น รีสอร์ทมีคนมาพัก

สุรนันทน์ : มันเหมือนกับการบูรณาการความรู้ แล้วก็วิธีการทำงานในหลายๆทาง ไม่ใช่แยกขายของ มันจะเป็นลักษณะนี้มากขึ้น ซึ่งมันเป็นเพราะปรากฏการณ์ที่โลกมันเปลี่ยน ตัวเทคโนโลยีมันเปลี่ยน

ราเมศวร์ : ครับ แล้วการแบ่งปันมันเพิ่มมากขึ้น ถ้าพฤติกรรมนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มันจะเฉลี่ยความรวย สุดท้ายคือทุกคนก็รวยได้ ซึ่งที่เราจะเห็นคนเดียวรวย แล้วคนอื่นจนหมดมันก็จะน้อยลงเพราะมันไปเฉลี่ย

สุรนันทน์ : อันนี้หรือเปล่าที่คุณราเมศวร์ไปสร้างต้นกล้าไอที

ราเมศวร์ : ครับ ต้นกล้าไอทีที่แม่ฮ่องสอน คือผมต้องการจะสอนเด็กให้มีอาชีพ เดิมปัญหาเราคือ เรารับบัณฑิตที่จบจากมหาวิทยาลัย เราก็ต้องมาสอนอีก 6 เดือน มันไม่พร้อมใช้ ผมก็มีความคิดว่าทำไมเราไม่สอนตั้งแต่ ม.1 เพราะว่าเด็กปัจจุบันก็คือเรียนให้จบไปตามหลักสูตร จบม.6 ก็คือไปเข้ามหาวิทยาลัย

สุรนันทน์ : ก็คือไปสอนไอที

ราเมศวร์ : สอนไอทีแล้วก็สอนวิธีคิด ไอทีเป็นเครื่องมือแต่เขาต้องคิดธุรกิจด้วยตัวเขาเอง เราไปสอนวิธีคิดคนให้เขาคิดเอง เราไปคิดแทนเขาไม่ได้ แต่ถ้าเขาคิดเรื่อยๆทุกวันๆ ตั้งแต่ม.1 ถึง ม.6 ต่อไปเขาอาจจะไม่เรียนต่อปริญญาตรีก็ได้ เพราะว่าเขามีเงินเยอะแล้ว เราต้องให้เป็นลูกคลื่นคือพี่สอนน้อง ให้ ม.5 สอน น้อง ม.4 ให้ม. 3 สอนน้อง ม.1, ม.2 การที่เราให้เด็กสอนเด็กเวลารุ่นพี่สอนรุ่นน้องมันจะไม่เหมือนอาจารย์สอน เพราะความรู้เอาจากอาจารย์ ประสบการณ์เอากับรุ่นพี่ ความรู้มันมาใหม่ตลอดเวลา เราไม่รู้ก็มีคนมาบอกเรา หรือถ้าเรายังกดไม่เจอเราก็โพสต์ขึ้นไว้ว่าเราไม่รู้เรื่องเดี๋ยวคนก็มาบอก เรา มันไม่ใช่ One Way อีกแล้ว มันมารอบทิศทาง

สุรนันทน์ : แต่รัฐบาลไม่ได้บอกว่าเป็นรัฐบาลใด พอบอกเรื่องไอทีก็ซื้อคอมพิวเตอร์แจกโรงเรียนมันไม่ใช่หรือ

ราเมศวร์ : ไม่ใช่ครับ สมมติว่าถ้าเราอยากจะให้รีสอร์ทใช้คอมพิวเตอร์ วิธีการเดิมคือเอาคอมพิวเตอร์ไปขายเขา เอาซอฟต์แวร์ไปขายเขา อย่างรีสอร์ทมีรายได้ปีหนึ่ง 10 ล้านบาท คอมพิวเตอร์มัน 2 ล้านแล้ว เขาซื้อไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นเราก็เลยลบอกว่าคุณเป็นธนาคาร คุณอยู่บนริษัทตลาดหลักทรัพย์ ใหญ่โต อย่างไรคุณก็มีคอมพิวเตอร์ที่คุณจะอัพเกรดเปลี่ยนใหม่อยู่แล้วขอบริจาคได้ หรือเปล่า จะเอาไปให้รีสอร์ทใช้ ซอฟต์แวร์เราก็ทำฟรีแล้วให้เด็กไปบริการใช้งานด้วยตัวเด็ก แต่เนื่องจากเด็กยังเรียนหนังสืออยู่ให้ไป 3 ผลัด ผลัดละ 3 ชั่วโมง เดือนละ 1,500 บาท เพราะว่าเด็กเขาไม่ได้ทำอะไรเยอะแยะ ก็เป็นเศรษฐกิจขึ้นไอทีก็ได้ใช้

สุรนันทน์ : อย่างนี้บริษัทใหญ่ๆเขาไม่แย่กันหมดหรือ

ราเมศวร์ : ไม่ครับ เพราะว่าบริษัทใหญ่ๆกับพวกนี้แหละต้องอยู่ร่วมกัน ที่ผมบอกว่าPairing คือไม่มีใหญ่ไม่มีเล็ก ต้องเคียงข้าง อย่างผมมี 40 บริษัท ถ้ามีโปรเจ็คเล็กๆก็ต่างคนต่างทำ 10-20 คน แต่เวลามี โปรเจ็ค ใหญ่ๆต้องการ 100 คน เราก็ไปเรียกมาบริษัทละ 2 คน 40 บริษัทเราได้ 80 คน ซึ่งไม่ได้เป็นเปอร์เซ็นต์มากของเขา เขาก็ยังทำโปรเจ็ค เดิมของเขาได้ ส่วนที่แม่ฮ่องสอนอีกไม่เกิน 10 ปีจะเห็นผล ถ้าแม่ฮ่องสอนไม่พอต้องไปคัดจากเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน เป้าหมายของเราคือเด็กด้อยโอกาส เด็กบนดอย ถ้ามันไปได้ดีมันอาจจะไปที่น่าน ไปสกลนคร ไป 3 จังหวัดชายแดดภาคใต้ ถ้าคนมีกินมีความสบายเขาไม่อยากไปทำอะไรที่ทุกข์ร้อนหรอก ทุกวันนี้เราฟังเรายังอยากฟังแต่ข่าวดี แล้วที่ผมบอกว่า Acting Global คืออย่าไปมองตลาดแค่ประเทศไทยเราต้องมองอาเซียนมองทั่วโลก อาเซียนเราก็ต้องเห็นว่าเขาเป็นเพื่อนเรา ไม่ใช่ไปเอาเปรียเขา แล้วก็ดูว่าเขากับเราจะอยู่ด้วยกันอย่างไร ถ้าเราทำอย่างนี้ได้เศรษฐกิจในแนวความคิดนี้มันน่าจะทำให้คนทั้งโลกมีความสุข

ที่มา: http://www.posttoday.com/suranan.php?id=65558

รวบรวมบทความ การสร้างธุรกิจส่วนตัว

บทความที่ 1
กฎเหล็ก !! ของซอฟต์แวร์มือใหม่

แม้ ประเทศไทยจะพยายามส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์เป็นอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ของ ประเทศมานาน โดยมีการจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย (ซอฟต์แวร์ปาร์ก) ที่ครบ 10 ปีในปีนี้ รวมถึงได้จัดตั้งสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือซิป้าขึ้นมา

แต่จนถึงขณะนี้อุตสาหกรรม ซอฟต์แวร์ไทยก็ยังไม่ได้แข็งแกร่งมากพอในการ แข่งขันในเวทีต่างประเทศ ส่วนใหญ่ยังเป็นบริษัทธุรกิจขนาดเล็กไม่สามารถสร้างเม็ดเงินให้กับประเทศได้ มากมายเช่นที่คาดหวัง

ในงานครบรอบ 10 ปีซอฟต์แวร์ปาร์ก ได้เปิดเวทีให้กับกูรูที่ปลุกปล้ำกับธุรกิจซอฟต์แวร์มานาน อย่าง "ราเมศวร์ ศิลปพรหม" กรรมการผู้จัดการ บริษัทซอฟต์ สแควร์ กรุ๊ป และ "ศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร" กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็มเอฟอีซี จำกัด (มหาชน) มาเปิดเคล็ดลับการทำธุรกิจพัฒนาซอฟต์แวร์ให้กับผู้ประกอบการมือใหม่เก็บไว้ เป็นข้อคิดที่น่าสนใจ

เริ่มจาก "ราเมศวร์ ศิลปพรหม" แห่งบริษัทซอฟต์สแควร์ กรุ๊ปบอกว่า กลยุทธ์ "7-7-7-7" คือเคล็ดลับความสำเร็จและมีความเสี่ยงน้อยที่สุด

7-7-7-7 คือเวลา 7 ปีที่ควรทำเรื่องต่างๆ ใน 4 ช่วงเวลา 7 แรก หมายถึง 7 ปีแรกที่มือใหม่ทั้งหลายควรเก็บเกี่ยวความรู้ ประสบการณ์ และเงินทุน จากการเป็นลูกจ้างคนอื่น ไม่ว่าคุณจะเป็นเซียนเก๋าแค่ไหนในมหาวิทยาลัย มีรางวัลการันตีคุณภาพมากมาย ถ้าขาดประสบการณ์แล้วใจกล้าตั้งบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ของตน ขึ้นมา บริษัทจะเจ๊งก่อนโต

"การขาดประสบการณ์ คิดแต่จะได้ ทำให้ไม่เห็นความเสี่ยง ไม่มีประสบการณ์ในการทำธุรกิจและแก้ปัญหา ฉะนั้นใจเย็นๆ อย่าโลภ แต่จะเป็นลูกจ้างคนอื่นก็อย่าตั้งเป้าแต่เงินเดือนสูงๆ ต้องรู้จักวางแผนเก็บเงิน ถ้ามีเงินเก็บถึง 1 ล้านค่อยไปเริ่ม 7 ที่ 2"

7 ตัวที่ 2 คือช่วงเวลาที่เหมาะสมใน การตั้งบริษัท โดยโฟกัสเฉพาะเทคโนโลยีที่เชี่ยวชาญและอุตสาหกรรมของลูกค้าที่รู้ลึกรู้จริง เพียง 1 อย่างก็พอ เพราะบริษัทซอฟต์แวร์ไม่ได้ขายแค่ซอฟต์แวร์ ต้องเข้าใจโมเดลธุรกิจของลูกค้าและรู้ว่าจะนำไอทีไปช่วยได้อย่างไร โดยอาจจับเทคโนโลยีที่ชอบแล้วเกาะติดเพื่อเติบโตไปพร้อมๆ กัน "ถ้าชอบ SUN ศึกษาเทคโนโลยีของ SUN พัฒนาซอฟต์แวร์มารองรับ เกาะติด SUN SUN โต เราโตด้วย เป็นกลยุทธ์ในการเติบโตได้"

ช่วงเวลานี้จะต้องสร้างโมเดลธุรกิจและเป้าหมายอย่างชัดเจน รวมถึงต้องใส่ใจกับการบริหารความเสี่ยง

"อย่า ตั้งเป้าไว้ที่รายได้ เพราะต้องลงทุนเยอะ ทั้งจ้างคนเพิ่มและอื่นๆ แต่ยอดขายก็อาจไม่มาและอาจทำให้เงินเหลือไม่เยอะ อย่างที่คิด ขอให้ตั้งเป้าไว้ที่เงินเหลือเพราะจะทำให้เราใส่ใจกับการควบคุมค่าใช้จ่าย"

หัวใจสำคัญคือ ต้องพัฒนาด้านมาร์เก็ตติ้งแข็งแรงกว่าด้านโปรดักต์อย่างน้อย 4 เท่า หมายความว่าโปรดักต์ต้องดีแต่ต้องมีมาร์เก็ตติ้งที่ดีกว่า

"ในอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ดีมานด์มีมากกว่าซัพพลายอยู่แล้ว มีบริษัทที่ต้องการคนมาพัฒนาซอฟต์แวร์เยอะแยะ ถ้าเราดีจริง"

7 ตัวที่ 3 คือช่วงเวลาสำหรับขยายกิจการ โดยขยายในแนวลึก ถ้าไม่จำเป็นอย่าขยายไปในสิ่งที่ไม่เชี่ยวชาญหรือข้ามอุตสาหกรรม ที่สำคัญคือการหาพันธมิตรและผลักดันลูกน้องที่เชี่ยวชาญขึ้นมามี ส่วนร่วมในการเติบโต อย่าคิดเก่งเพียง คนเดียวและอย่าลืมแบ่งปันผลกำไรให้ทั้งพนักงาน ลูกค้า และผู้ถือหุ้น

ก่อน จะเข้าสู่ช่วงเวลา 7 ปีสุดท้ายที่จะหาคนมารับช่วงต่อเพื่อเกษียณตัวเอง ซึ่งตอนนี้ "ซอฟต์สแควร์" ก็ถือว่าอยู่ในช่วงของการเข้าสู่ 7 ตัวสุดท้าย

หัวใจ สำคัญของการทำธุรกิจซอฟต์แวร์ ต้องโฟกัสที่เทคโนโลยีและลูกค้า เพราะถ้าเราไม่เก่งก็เจ๊ง แต่ถ้าถนัดและเชี่ยวชาญ คนอื่นก็แข่งยาก และโอกาสเจ๊งก็ยากเช่นกัน

"ศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร" กรรมการ ผู้จัดการใหญ่ บมจ. เอ็มเอฟอีซี เสริมว่า กฎเหล็กสำหรับมือใหม่มี 3 ข้อ คือ

1.อย่า ลงทุนเปิดบริษัทกับเพื่อน ยิ่งหุ้นกันเกิน 3 คนยิ่งอย่าทำ เพราะช่วงวัยทำงานจะเห็นเงินเป็นเรื่องสำคัญ และเงินจะทำให้เสียเพื่อน นอกจากนั้นทุกคนจะชิงกันเป็นผู้นำเพราะเชื่อว่าสมองเท่ากัน ซึ่งบริษัทจะเติบโตได้ต้องมีผู้นำที่ตัดสินใจเด็ดขาด

2.ไม่ควรพึ่ง หรือยึดติดกับคนเก่ง บริษัทไม่ควรอยู่ได้เพราะคนคนเดียว สิ่งที่สำคัญในการบริหารงาน คือ ผู้นำ ซึ่งหลายๆ แห่งไม่ใช่ "นักไอที" แต่เป็นคนที่สามารถทำให้ทุกคนในบริษัททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ เพราะธรรมชาติของมนุษย์เวลามาทำงานร่วมกันจะทำงานน้อยกว่าศักยภาพจริง

3.อยาก หวังพึ่งโชคชะตาปล่อยไปตามยถากรรม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับภาวะเศรษฐกิจ การเมือง หรือสังคม เมื่อบริษัทมีเป้าหมายมีแผนงานแล้วต้องมุ่งไปให้ได้ ถ้าเจอปัญหาแล้วค่อยแก้ไข

และ 2 กูรูแห่งธุรกิจซอฟต์แวร์ไทย บอกตรงกันว่า ปัญหาส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้น มักมาจาก "do ในสิ่งที่ don"t และ don"t ในสิ่งที่ต้อง do"

ข่าว : ประชาชาติธุรกิจ

Wednesday, October 7, 2009

อ่าน Text file ขนาดใหญ่ ด้วย JAVA

ใช้ Java อ่าน Text file ขนาดใหญ่ (> 10 MB)

เปรียบเทียบด้านความเร็ว
byte[] or ByteArrayOutputStream เร็วกว่า BufferedReader

แต่ถ้าเปรียบเทียบเรื่องการใช้งานนั้น
BufferedReader ใช้งานง่ายกว่านะ