Monday, June 30, 2008

ความคุ้นเคยเดิมๆ ได้กลับมาให้อะไรอีกครั้ง

ความคุ้นเคยเดิมๆ ที่ได้สัมผัส และถูกสั่งสอนมานาน ได้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเจ้านายเก่าได้ส่ง http://blog.macroart.net/2008/06/do-and-dont-for-running-successful-software-company.html (ต้องขออนุญาติเจ้าของกระทู้ด้วยนะครับ เขียนได้ดีจัง)มาให้อ่าน อ่านแล้วทำให้มีกำลังที่จะต้องคิดอะไรก็ได้ให้มันนอกกรอบเสมอ และอย่าไปกลัวปัญหา เพราะทุกปัญหาต้องมีทางออกอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าเราจะหาทางได้อย่างไงบ้าง

สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำในการทำธุรกิจ Software House ให้ประสบความสำเร็จ

วันนี้มีโอกาสได้ไปงานสัมมนา Software Park Annual Conference 2008 ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์ ซึ่งเป็นงานที่ไม่น่าผิดหวังเลย เนื้อหาและวิทยากรที่มาพูดแต่ละคนไม่ธรรมดากันทั้งนั้น
มีอยู่หัวข้อหนึ่งที่ผมถูกใจมากก็คือ Dos & Don’ts for running a successful Software Company ที่ร่วมเสวนาโดยคุณราเมศวร์ ศิลปพรหม Managing Director, Softsquare Group คุณศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร President, MFEC (Public) Co., Ltd. และคุณโสภณ บุญยรัตพันธุ์ Managing Director, Vnet Capital Co., Ltd.สิ่งที่ทำให้ผมถูกใจก็คือวิทยากรก็คือคุณราเมศวร์ซึ่งเริ่มทำธุรกิจ Software House มาตั้งแต่ปี 1988 ด้วยเงินทุนเริ่มต้นสามแสนบาทและคนสามคน โดยที่คุณราเมศวร์ไม่ได้เรียนจบมาทางคอมพิวเตอร์ แต่จบวิศวกรรมเครื่องกล ปัจจุบันนี้บริษัทของคุณราเมศวร์มีพนักงาน 400 คน เป็นบริษัทเอกชน ไม่ได้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ และไม่เคยกู้เงินแบงก์เลย (มีแต่แบงก์มาขอให้กู้) แปลว่าบริษัทเติบโตมาจากเงินสามแสนบาทจริงๆ
ผมไม่แน่ใจว่าปัจจุบันคุณราเมศวร์อายุเท่าไหร่ แต่คิดว่ามีอาวุโสพอสมควร น่าจะราวๆ 50 ปีได้ เรียกได้ว่าอยู่ในวัยเดียวกับผู้บริหารระดับสูงสุดขององค์กรส่วนใหญ่เลย ถึงจะมีอายุแล้ว แต่ก็ยังดูแอคทีฟและมีพลังล้นเหลือ ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลยสำหรับคนที่เป็นผู้นำองค์กรที่เริ่มต้นตั้งแต่ 3 คน จนมาถึงระดับ 400 คนได้
ประเด็นที่คุณราเมศวร์พูดไว้อย่างน่าสนใจมีอยู่หลายเรื่องเลย เรื่องแรกที่ผมทึ่งมากๆ ก็คือการวาง Career Path ให้กับพนักงาน บริษัทที่ดีควรจะมี career path ให้พนักงานเห็นภาพว่าเขาจะเติบโตในหน้าที่การงานอย่างไร ตัวอย่างเช่น Programmer -> Senior Programmer -> System Analyst -> Project Leader -> Project Manager เป็นต้น แต่แนวคิดของคุณราเมศวร์นั้นต่างออกไป ก็คือคนในวงการไอทีมีไม่กี่คนหรอกที่จะอยู่กับบริษัทไปนานๆ อย่างมากก็ 7 ปี ดังนั้นวาง Career Path ไว้แค่ 7 ปีก็พอ หลังจากนั้นถ้าพนักงานไม่ลาออกเพื่อเปลี่ยนบริษัทก็ลาออกเพื่อไปตั้งบริษัทตัวเอง ซึ่งคุณราเมศวร์ก็จะสนับสนุนให้พนักงานออกไปตั้งบริษัท ถ้าให้ดีก็ควรชวนเพื่อนพนักงานคนอื่นๆ ไปด้วย และถ้าเงินทุนไม่พอก็ให้พนักงานรวมถึงคุณราเมศวร์เองมีส่วนในการลงทุนเพื่อถือหุ้นในบริษัทใหม่ได้ นอกจากนี้คุณราเมศวร์ก็จะคอยส่งงาน (Outsource) ให้ด้วย
จะเห็นได้ว่าวิธีการนี้เป็นการเปลี่ยนจากพนักงานมาเป็นหุ้นส่วน ทำให้พนักงานที่เดิมเป็นคนทำงานกินเงินเดือนไปวันๆ ก็กลายเป็นเจ้าของงานที่ต้องทุ่มเทรับผิดชอบงานอย่างเต็มที่ ลดภาระบริษัทที่จะต้องจ่ายเงินเดือนพนักงานให้ได้ทุกเดือน และยังช่วยให้บริหารกำลังการผลิตซอฟต์แวร์ได้ง่ายขึ้นด้วย ถ้าช่วงไหนที่มีงานเข้ามามากเกินกำลังพนักงาน 400 คนที่มีอยู่ ก็ใช้วิธี Outsource ให้บริษัทของพนักงานเก่าไปทำ ทำให้ไม่ต้องจ้างพนักงานใหม่เพิ่ม (ซึ่งจะตามมาด้วยภาระการจ่ายเงินเดือนให้พนักงานคนนั้นอีกนาน) ปัจจุบันนี้ ทั้งพนักงาน In-house และพนักงาน Outsource ที่คุณราเมศวร์มีประมาณ 800 คน และบริษัทที่เป็นพันธมิตรทั้งที่มีหุ้นและไม่มีหุ้นอีกหลายบริษัท เรียกได้ว่าเป็นเสมือนคลัสเตอร์ของอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ได้เลย
ประเด็นต่อมาที่ผมชอบก็คือวิธีการคิดบวก บริษัทซอฟต์แวร์จำนวนมากในไทยที่ประสบปัญหาแรงงานคุณภาพต่ำ เด็กจบใหม่มาสมัครเป็นโปรแกรมเมอร์แต่ทำงานอะไรไม่ได้เลย คุณราเมศวร์ก็จะให้เริ่มจากการทำงานง่ายๆ อย่างเขียน Report ไปก่อน เขียนได้อาทิตย์ละหนึ่ง Report ก็ยังดี ระหว่างนี้ก็เทรนไปเรื่อยๆ พอเดือนที่สี่ก็เริ่มให้ทำงานที่ยากขึ้น เดือนที่เจ็ดก็ยากขึ้นไปอีกขั้น ใครที่เทรนไปสักพักแล้วย้ายไปบริษัทอื่นก็ช่างมัน ดีซะอีก ประหยัดเงินเดือน
พอได้ฟังแบบนี้ทำให้ผมเข้าใจอะไรขึ้นเยอะเลย ก่อนหน้านี้ผมเคยทำงานเป็น Project Leader ใน Software House แห่งหนึ่ง ด้วยความที่เจ้านายเป็นอเมริกันและอยากทำให้บริษัทตัวเองเป็นแบบ Google คือมีแต่คนเก่งๆ เข้ามาทำงาน ก็เลยใช้วิธีให้เงินเดือนสูงๆ เพื่อจูงใจคนมีฝีมือ แต่พอบริษัทเริ่มพัฒนาโครงการหนึ่งให้ลูกค้า ซึ่งเป็นโครงการที่ใหญ่และมีเวลาจำกัดมาก ขณะที่มีทรัพยากรคือโปรแกรมเมอร์ไม่เพียงพอ (ตามหลักของ Project Management กรณีนี้คือขาของ Scope ยาวเกินไป ขณะที่ขา Time และ Cost/Resource สั้น ทำให้โครงการขาดความสมดุล) บริษัทก็เลยต้องเร่งจ้างคนเข้ามา ซึ่งที่นี่คือประเทศไทย ไม่ใช่อเมริกา ผลที่ได้ก็คือคนส่วนใหญ่ที่จ้างเข้ามาเป็นเด็กจบใหม่ที่ยังทำงานจริงไม่ได้ ต้องมีการเทรนก่อน แต่ก็ไม่มีเวลาที่จะมานั่งเทรนเพราะต้องเร่งทำโครงการให้เสร็จทันตามกำหนด ทำให้โครงการวุ่นวายยุ่งเหยิงมาก
เมื่อมองกลับไปที่บริษัทของคุณราเมศวร์ ทำให้เห็นว่าบริษัทเก่าผมมีข้อผิดพลาดในการบริหารงานอยู่สองจุด (อันนี้ไม่ได้จะเบลมบริษัทเก่านะครับ แต่อยากให้ดูเป็นกรณีศึกษา บ่อยครั้งที่ตัวอย่างของความล้มเหลวมีค่ามากกว่าตัวอย่างของความสำเร็จ) จุดแรกก็คือการประเมินคุณภาพแรงงานด้านไอทีในไทยเกินกว่าความเป็นจริง และคาดหวังไว้กับการตามล่าหาคนเก่ง จุดที่สองคือการขยายตัวเร็วเกินไป รับงานใหญ่เข้ามาทำโดยที่ทรัพยากรในบริษัทยังไม่พร้อม ขณะที่การบริหารของคุณราเมศวร์จะไม่เจอข้อผิดพลาดสองอย่างนี้ เพราะไม่ฝากความหวังไว้กับคนเก่ง ยอมรับความจริงว่าเด็กจบใหม่จำนวนมากยังเริ่มทำงานจริงไม่ได้ ต้องมีการเทรนให้ก่อน และมีการบริหารกำลังการผลิตได้ดี ถ้ามีงานเข้ามาล้นมือก็สามารถส่งต่อให้บริษัทพันธมิตรได้
การคิดบวกอีกอย่างหนึ่งของคุณราเมศวร์ที่ผมชอบก็คือเรื่องการทุ่มเททำงานของคนไทย วิศวกรของ Apple จะมีเสื้อยืดที่สกรีนข้อความว่า 90 hours/week ซึ่งหมายถึงการทุ่มเททำงานอย่างหนักเพื่อให้ผลิตภัณฑ์ออกมาดีที่สุด ขณะที่คนไทยเราทำงานสัปดาห์ละ 5 วัน วันละ 8 ชั่วโมง แต่ทำจริง 6 ชั่วโมง แปลว่าเราทำงาน 30 hours/week ซึ่งคุณราเมศวร์ก็มองว่าดีแล้ว ขืนให้ทำมากก็ยิ่งมีบั๊กมาก นั่งทำบั๊กสองวัน แก้บั๊กอีกสามวัน หมดสัปดาห์พอดี (ฟังดูเหมือนตลกร้าย…แต่จริง)
ขอย้อนกลับมาที่การวาง Career Path ให้พนักงาน 7 ปี และสนับสนุนให้พนักงานตั้งบริษัทเอง คำถามก็คือพนักงานจะมีเงินมาตั้งบริษัทได้เหรอ วิธีการที่คุณราเมศวร์สอนพนักงานก็คือให้ตั้งเป้าหมาย (อย่างเหมาะสม) ว่าในแต่ละเดือนจะมีเงิน “เหลือ” กี่บาท อย่าตั้งเป้าหมายว่าจะมีรายรับหรือเงินเดือนกี่บาท เช่น เงินเดือน 15,000 บาท ตั้งใจว่าจะเหลือเงิน 4,000 บาททุกเดือน ก็ต้องพยายามทำให้ได้ ถ้าเหลือไม่ถึงก็ให้ดูว่ามีรายจ่ายอะไรบ้าง ค่ารถ ค่ากิน ค่าดูหนัง ค่าเที่ยวผับ ฯลฯ ให้เรียงลำดับความสำคัญจากมากไปน้อย อย่างค่าเที่ยวผับนี่เอาไว้สุดท้ายเลย เวลาใช้เงินก็ใช้กับสิ่งที่สำคัญก่อน ถ้าเงินเหลือก็ค่อยไปเที่ยวผับ ถ้าไม่ใช้เงินกับสิ่งไม่สำคัญแล้วยังเหลือเงินไม่ถึงเป้า ก็ให้ดูว่าจะลดอะไรได้อีก ถ้ากินข้าวแถวที่ทำงานแล้วใช้เงินมากเกินไปก็ให้ห่อข้าวจากบ้านมากิน ถ้าทำทุกวิธีแล้วก็ยังเหลือเงินไม่ถึงเป้า ก็ให้เข้าไปพูดกับพ่อว่า “พ่อครับ พ่ออยากให้ผมเป็นคนที่มีเป้าหมายและพยายามทำให้บรรลุเป้าหรือเปล่าครับ ถ้าพ่อให้เงินผม ผมก็จะเป็นได้ครับ”
ฟังดูเหมือนตลกนะ แต่นี่คือการสะท้อนวิธีคิดแบบ Can Do Attitude เมื่อตั้งเป้าหมายแล้วต้องหาทางทำให้ได้ ต้องปรับแผนตลอดเวลาเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้แล้วก็เลยปรับลดเป้าหมายลง ซึ่งวิธีคิดแบบนี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ
เมื่อสามารถเก็บเงินได้แล้ว ก็ให้เอาเงินไปลงทุนในบริษัทของพนักงานที่ออกไปตั้งบริษัท ได้ผลตอบแทนปีละ 10% - 30% เก็บเงินเพิ่มและลงทุนทบต้นไปเรื่อยๆ แค่ 7 ปีก็จะมีเงินล้าน เพียงพอที่จะออกไปเปิดบริษัท ทำบริษัทไปจนอายุ 40 ปีจะมีเงิน 10 ล้าน ถ้าทำถึงอายุ 50 ปีจะมีเงิน 30 ล้าน
ประเด็นต่อมาคือการบริหารผลประโยชน์ของ Stakeholders ก็คือบริษัทจะต้องทำให้ลูกค้าพอใจกับสิ่งที่เขาได้รับ ต้องทำให้พนักงานพอใจกับงานและเงินเดือน ซึ่งพนักงานหลายคนอยากทำงานสบายๆ เงินเดือนเยอะๆ ถ้าบริษัททำได้ก็ทำ ถ้าทำไม่ได้ก็ให้ไล่พนักงานมันออกไปซะ (555) และบริษัทต้องทำให้ผู้ถือหุ้นพอใจกับผลตอบแทน ถ้าเป็นผู้ถือหุ้นที่ลงแรงด้วยก็ควรให้สัก 30% แต่ถ้าเป็นผู้ถือหุ้นที่ลงเงินอย่างเดียวก็เอาไปแค่ 10% พอ
เรื่องสุดท้ายคือการรับงานจากลูกค้า ถ้าลูกค้าต่อราคา คุณราเมศวร์จะบอกว่าให้ไปต่อคิวด้านหลังนู่นเลย เพราะอย่างที่รู้กันคือธุรกิจซอฟต์แวร์มี Demand มากกว่า Supply มีบริษัทที่ต้องการคนมาพัฒนาซอฟต์แวร์ให้อยู่เยอะแยะ ลูกค้ารายไหนที่ต่อราคาก็รอไปหน่อยละกัน ถ้าลูกค้าถามว่าทำไมถึงคิดราคาสูงเท่ากับที่บริษัทยักษ์ใหญ่คิด คุณราเมศวร์ก็จะตอบว่า “ถ้าผมคิดราคาถูกกว่าบริษัทใหญ่แล้วผมจะเอาอะไรกิน”
ใครที่สนใจทำงานกับบริษัทนี้ก็ลองสมัครไปดูนะครับ ผมคิดว่าเงินเดือนคงไม่มาก แต่สิ่งที่ได้คงเป็นความรู้และประสบการณ์หลายอย่าง ทั้ง Hard Skill ที่เป็นความรู้ตรงด้านไอที และ Soft Skill อย่างเรื่องวิธีการบริหารจัดการชีวิตตัวเอง
จะเห็นได้ว่าบริษัทนี้ไม่ยอมให้ลูกค้าต่อราคา ทำให้มีรายรับสูง และอาจจะจ่ายเงินเดือนพนักงานน้อย ซึ่งทำให้รายจ่ายต่ำ ส่วนต่างระหว่างรายรับกับรายจ่ายซึ่งก็คือกำไรก็เลยกว้าง บริษัทเลยมีกำไรเยอะและสามารถขยายกิจการจนเติบใหญ่ได้โดยไม่ต้องกู้แบงก์เลย

ที่มา http://blog.macroart.net/2008/06/do-and-dont-for-running-successful-software-company.html (ต้องขออนุญาติเจ้าของกระทู้ด้วยนะครับ ขอมาโพสเก็บไว้เตือนใจ คุณอภิศิลป์ ตรุงกานนท์ เขียนได้ดีจัง)

Sunday, June 15, 2008

My Notebook

ในที่สุดเรากำลังจะได้เป็นเจ้าของ notebook ด้วยเงินของเราเองแล้ว (ถ้าผ่อนหมดในอีก 10 เดือนข้างหน้านะ อิอิ) รุ่นที่ซื้อก็ Toshiba M200-E4311T ในราคา 34,133 บาท ของแถมที่ได้ก็มี Mouse ของ Toshiba, Soft case, Ram 1G, กระเป๋าหนังสีดำ, แผ่นพลากสิกรอง keyborad และนอกจากนี้ยังจนไม่พอ ต้องหาเรื่องเสียเงินอีก โดยซื้อประกันเพิ่มอีก 1 ปี ก็ต้องเสียเงินอีก 1400 บาท เฮ้ย เดือนนี้ใช้เงินเยอะจริงๆ เลย

Monday, June 9, 2008

จะจิตตกไปถึงไหนกัน

อยากบอกว่า ช่วงนี้รู้สึกเหนื่อยๆ ไม่ค่อยอยากทำอะไรเลย แย่จังอยากให้เวลาแบบนี้ผ่านไปเร็วๆ จัง (ชิ่วๆ ไปซักทีซิ) นอกจากช่่วงนี้จะรู้สึกเหนื่อยกายแล้ว ยังรู้สึกเหนื่อยใจด้วย ไม่รู้เป็นอะไรคิดแต่เรื่องในแง่ลบตลอดเลย ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องน้อยก็หงุดหงิด ไม่พอใจไปซะทุกอย่าง ต่างจากเมื่อก่อนจะมองทุกสิ่งเป็นบวกหมด สามารถยอมรับเรื่องผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ได้ จะว่าไปช่วงนี้คงจะเป็นช่วงที่จิตตกที่สุดเลยก็ว่าได้ เอาเป็นว่านับตั้งแต่ตอนนี้จะพยายามกลับมาเป็นคนเดิม เริ่มจากคิดบวกก่อน เผื่อเรื่องร้ายๆ จะได้ไม่เข้ามาอีก (ยิ่งคิดเรื่องลบมาก มันก็มีเรื่องไม่ดีเข้ามามากเหมือนกันนะ)
โย่ว ปุณสู้ๆ :)

Sunday, June 8, 2008

การทำ Thesis

Thesis หรือที่รู้จักกันอีกชื่อหนึ่งในภาษาไทยก็คือ วิทยานิพนธ์ หรือถ้ายังงงอยู่ จะกล่าวในรายละเอียดคร่าวๆ ได้ว่า การทำงานวิจัย หรือการศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่เราสนใจ เรื่องใดเรื่องหนึ่ง สาขาใดสาขาหนึ่ง แล้วนำมาประยุกต์เพื่อให้ได้งานใหม่ที่เกิดจาก Idea ของผู้ทำเอง ซึ่งการทำวิทยานิพนธ์ ส่วนใหญ่ทำตอนที่เรากำลังจะจบการศึกษาในสถานศึกษาระดับอุดมศึกษา

การทำวิทยานิพนธ์ เราต้องรู้สิ่งต่อไปนี้
  1. เราจะทำเรื่องอะไร สาขาไหน และทำเพื่ออะไร
  2. ขอบเขตของงานวิจัย ซึ่งอันนี้สำคัญมาก ต้องระบุให้ชัดเจนนะ
  3. ตัวชี้วัด เพื่อใช้เปรียบเทียบกับงานวิจัยหรือ algorithm ที่เคนมีอยู่ในอดีด กับงานวิจัยของเรา
  4. รูปแบบของผลงาน เมื่อทำเสร็จแล้ว
  5. สมมติฐานต่างๆ ที่กำหนดขึ้นเพื่อทำงานวิจัย เช่น เราไม่สนใจตัวแปรอะไร ต้องระบุไว้ด้วย
  6. ข้อจำกัดของงานวิจัย หรือทฤษฏีที่นำมาใช้
  7. การนำงานวิจัยชิ้นนี้ไปใช้ต่อ เมื่อทำเสร็จแล้ว

Thursday, June 5, 2008

ชอบประโยคนี้มากๆ

Walt Disney Quotes:
"If you can dream it, you can do it."

Monday, June 2, 2008

Java Technology Concept Map

วันนี้ได้ใช้ google ค้นหาข้อมูล (จริงๆ ก็ใช้ทุกวันแหละ ถ้าโลกนี้ไม่มี google จะเกิดไรขึ้นฟระเนี่ย)
เกี่ยวกับ bug ที่สร้างขึ้น แต่ก็ยังหาไม่เจอซักทีเลย แต่ก็ยังโชคดีได้ไปเจอของดีของ sun เข้า นั่นคือ Java Technology Concept Map ถ้าสนใจสามารถดูได้จาก link ได้เลยนะ http://java.sun.com/new2java/javamap/intro.html สำหรับ pdf format: http://java.sun.com/new2java/javamap/Java_Technology_Concept_Map.pdf