Sunday, November 30, 2008

Amazing word "FAMILY"

วันนี้ไปเจอคนเอาตัวย่อของคำว่า "Family" มานะ มีความหมายดีทีเดียว ลองมาดูกัน

Father
And
Mother
I
Love
You

Monday, November 24, 2008

Watts S. Humphrey Quotes

Watts S. Humphrey Quotes
1. "If you don't allow any requirements changes, you could build the wrong product and waste the entire development effort."
2. "If you don't rigorously control changes, you will never finish development."

Saturday, October 25, 2008

Set Wireless Lan for Ubuntu

type in terminal,
sudo gedit /etc/modprobe.d/options

and then,
options iwl3945 disable_hw_scan=1

Credit: Munin MCPE

Install JDK for Ubuntu

Download JDK from sun for Linux (Do NOT get the rpm!)
sudo mv jdk-1_5_0_06-linux-i586.bin /usr/local
cd /usr/local
sudo chmod a+x jdk-1_5_0_06-linux-i586.bin
sudo sh jdk-1_5_0_06-linux-i586.bin



credit: Arktis from: http://ubuntuforums.org/showthread.php?t=148075

ต่อมาก็ set JAVA_HOME เพื่อให้สามารถใช้จาวาได้ทุกที่ โดย
ไปที่ home directory เปิดไฟล์ .bashrc และเพิ่มข้อความที่ท้ายไฟล์ไว้ดังนี้

export JAVA_HOME=/usr/local/jdk-x.xxx.xxx

export PATH=$PATH:$JAVA_HOME/bin

จากนั้นลอง logout เข้ามาใหม่ แล้วเปิดเทอร์มินอล พิมพ์ javac ดูนะครับ น่าจะใช้ได้แล้ว

create link
sudo update-alternatives --install /usr/bin/java java /usr/local/jdk1.6.0_11/bin/java 500
sudo update-alternatives --config java

Thursday, October 16, 2008

Java Programming Style Guidelines

เวปนี้น่าสนใจมาก แนะนำเกี่ยวกับหัวข้อข้างบน ลองเข้าไปดูกันได้เลยนะ
http://geosoft.no/development/javastyle.html

Monday, October 13, 2008

การแปลงค่าใน JavaScript

วิธีการแปลงค่าจากตัวอักษรให้เป็นตัวเลข อย่างเช่น '20' --> 20 ทำได้โดย

var num = '20';
Number(num);

or

parseInt(num);

ทำไมต้องแปลงด้วยละ????
เพื่อให้สามารถทำค่ามากระทำกัน ... ในทางคณิตศาสตร์ได้ เช่น +, -, *, / ไงจ๊ะ
ถ้าไม่แปลงค่าก่อน ตัว JavaScript จะเข้าใจว่า เราต้องการเอา String มาต่อกันนะ โฮ๊ะๆ ๆ เจ๋งจริงๆ

กำหนดจำนวนทศนิยมใน JavaScript

Fixed ตำแหน่งของทศนิยมใน JavaScript สามารถทำได้โดย

Tuesday, September 16, 2008

วิธีการออกจาก loop (break) มากกว่า 2 loop ขึ้นไป

1. ต้อง lable ชื่อบรรทัดของ loop ที่ต้องการ
2. ใช้ break ตามด้วย lable ที่ต้องการ
ตัวอย่างเช่น
Loop1: for( ... ; ... ; ... ) {
Loop2: for( ... ; ... ; ... ) {
break Loop1;
}
}

Wednesday, September 10, 2008

Anchor Text

ในที่สุดก็ได้ความกระจ่างซักทีว่าจริงๆ แล้ว anchor text มันคืออะไรกันแน่
ยกตัวอย่างเช่น

<a href="main.html">หน้าหลัก</a>

จากตัวอย่างสรุปได้ว่า anchor text คือ "หน้าหลัก"
ส่วน hyperlink คือ "main.html" นะ

Monday, September 8, 2008

SCI LAB

หลายวันที่ผ่านมา ได้เรียนวิชา Machine Learning สอนโดยอ. จาก nectect นะ อาจารย์ได้แนะนำโปรแกรมที่มีความสามารถคล้ายๆ กับ Matlab แต่เป็น opensource ฟรีๆ ไม่เสียเงิน ก็เลยให้โหลดมาลองใช้ดู ลองเล่นไปซักพัก (ใช้คำนวณพวก Matrix) พบว่า
โปรแกรม lightweight กว่า matlab มากๆ ใช้งานรื่นปรืดๆ
แต่ graphic ไม่ hiso เท่า matlab นะ ต้องทำใจหน่อย

Download
SCILAB ได้ที่ http://www.scilab.org/
ส่วนคู่มือภาษาไทนก็มีให้โหลดด้วยอะ ไม่หาใน google แล้วเจอมาที่นึง http://home.npru.ac.th/piya/webscilab/file/act/eb-scilab.pdf


ลองเล่นกันดูนะ

Friday, September 5, 2008

เวปสอนภาษาอังกฤษ สุดเจ๋ง

วันนี้เจอเวปสุดเจ๋ง http://intereladsd.blogspot.com เพราะมีการรวบรวมเวปต่างๆ ที่มีการสอนภาษาอังกฤษไว้ที่นี่อะ มีทั้งฝึกฟัง ฝึกเขียน มีทุกแนวเลย สามารถเลือกเรียนได้ตามต้องการเลยอะ แถมฟรี ไม่เสียตังด้วย เวปเค้าดีจริงๆ นะ

Monday, August 18, 2008

เปลี่ยนงาน

จะเปลี่ยนงานเพื่อความก้าวหน้า หรือจำทำ java แล้วอยู่กับที่ดีนะ

Wednesday, August 13, 2008

จำเป็นต้องเก่งทุกอย่างมั๊ย

เราจำเป็นที่ต้องเก่งไปทุกอย่างหรือไม่
คำตอบ ไม่เห็นจำเป็นเลย แค่เราสามารถทำอะไรซักอย่างให้มันดีๆ เราก็มีคุณค่าแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้สมอง การลงแรง ถ้าทำอันไหนได้ดีก็ทำไปเถอะ แต่ถ้าเรียนก็ไม่เก่ง งานหนักๆ ก็ไม่อยากทำ ลองมาเป็นนักบริหารดูซิ อาจจะเข้าท่าก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นการบริหารเงิน เช่น การเล่นหุ้น แต่อันนี้ขอบอกไว้ก่อนเลย ว่านอกจากจะมีความรู้ ประสบการณ์ และต้องมีเงินเหลือ ด้วยถึงจะได้ดี ไม่ใช่มีแต่ดวงอย่างเดียวนะ เพราะการลงทุนมีความเสี่ยง อิอิ ต่อมาก็เป็นการบริหารคน คิดดูดิ ถ้าเราไม่เก่งอะไรเลย แต่สามารถใช้คนเก่งให้สามารถทำงานให้เราได้ นั่งก็อาจจะเป็นข้อสรุปบางอย่างได้ว่า ใครเก่งที่สุดกันแน่เนอะ หรือจะเป็นคนเก่งอยู่แล้ว เราก็ไม่จำเป็นต้องแข่งกันหรอก สู้เอาเรื่องที่คนอื่นเก่งกว่าเรามาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ ก็ถือว่าประสบความสำเร็จละ เพราะทุกคนไม่สามารถที่จำเก่งทุกเรื่องได้ ถึงเก่งได้ ก็ไม่สามารถทำงานทุกอย่างพร้อมๆ กันได้แน่นอน

Wednesday, August 6, 2008

ปัญหาการตัดคำไทยใน IE7

หลายคนอาจจะมีปัญหา เวลาทำเวปเกี่ยวกับ การตัดคำภาษาไทย ซึ่งถ้าแสดงด้วย IE6 ก็ปกติดี แต่พอมาแสดงใน IE7 ปุ๊ป มันก็มีการตัดคำและแถมเพิ่มคำซ้ำให้เราด้วย เช่น "การทำงานด้วยคอม
ทำงานด้วยคอมพิวเตอร์" ซึ่งหลายๆ บทความที่ลองหาดูจะเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ คือ ไป setting ค่าใน IE7 ของเครื่อง Client ซึงเป็นการแก้ปัญหาชั่วคราว

เราจึงเสนอวิธีการหนึ่ง ที่สามารถแก้ที่ต้นเหตุได้ คือ เปลี่ยน stylesheet or css ตรง font or font-family จาก MS Sans Serif เป็น Tahoma หวังว่าทุกคนจะ work เหมือนเรานะ

Wednesday, July 23, 2008

Wow Open Office

ไม่น่าเชื่อว่า โปรแกรมทางด้าน Office เช่น word processing, Spreadsheets หรือแม้แต่โปรแกรมที่ช่วยสร้าง Presentation จะมีให้ใช้กันฟรีๆ เยอะขนาดนี้ ก่อนหน้านี้รู้จักเพียง Open Office กับ Pladao Office แต่จริงๆ แล้วในปัจจุบันมีหลายค่ายต่างให้ความสนใจ ผลิต free office ให้เราใช้กันอย่างมากกว่า อย่างเช่น Google Docs, IBM Lotus Symphony, OpenOffice.org, Zoho ตัวที่น่าสนใจและอยากจะทดลองดาวน์โหลดมาเล่นดูเป็นตัวแรกเลย คงจะเป็น IBM Lotus Symphony จริงๆ ไม่น่าเชื่อว่า IBM จะมีของฟรีให้เราใช้ด้วย ต้องลองเล่นดูประสิทธิภาพของมันซะหน่อยละ ส่วนอีกตัวที่อยากจะแนะนำก็คือ Zoho เท่าที่อ่านบทความ แล้วลองเข้าไปเวปมันแปปนึง มันเป็น web application อะ คือเราสามารถใช้โปรแกรมพวก office ที่ไหนก็ได้ ขอเพียงแค่ให้มี internet ส่วนบทความที่ได้วิเคราะห์ เจ้า 4 ตัวบอกมา ก็สามารถอ่านเพิ่มเติมได้จากที่
http://www.infoworld.com/article/08/07/15/29TC-office-alternatives_1.html นะครับ

Monday, June 30, 2008

ความคุ้นเคยเดิมๆ ได้กลับมาให้อะไรอีกครั้ง

ความคุ้นเคยเดิมๆ ที่ได้สัมผัส และถูกสั่งสอนมานาน ได้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเจ้านายเก่าได้ส่ง http://blog.macroart.net/2008/06/do-and-dont-for-running-successful-software-company.html (ต้องขออนุญาติเจ้าของกระทู้ด้วยนะครับ เขียนได้ดีจัง)มาให้อ่าน อ่านแล้วทำให้มีกำลังที่จะต้องคิดอะไรก็ได้ให้มันนอกกรอบเสมอ และอย่าไปกลัวปัญหา เพราะทุกปัญหาต้องมีทางออกอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าเราจะหาทางได้อย่างไงบ้าง

สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำในการทำธุรกิจ Software House ให้ประสบความสำเร็จ

วันนี้มีโอกาสได้ไปงานสัมมนา Software Park Annual Conference 2008 ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์ ซึ่งเป็นงานที่ไม่น่าผิดหวังเลย เนื้อหาและวิทยากรที่มาพูดแต่ละคนไม่ธรรมดากันทั้งนั้น
มีอยู่หัวข้อหนึ่งที่ผมถูกใจมากก็คือ Dos & Don’ts for running a successful Software Company ที่ร่วมเสวนาโดยคุณราเมศวร์ ศิลปพรหม Managing Director, Softsquare Group คุณศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร President, MFEC (Public) Co., Ltd. และคุณโสภณ บุญยรัตพันธุ์ Managing Director, Vnet Capital Co., Ltd.สิ่งที่ทำให้ผมถูกใจก็คือวิทยากรก็คือคุณราเมศวร์ซึ่งเริ่มทำธุรกิจ Software House มาตั้งแต่ปี 1988 ด้วยเงินทุนเริ่มต้นสามแสนบาทและคนสามคน โดยที่คุณราเมศวร์ไม่ได้เรียนจบมาทางคอมพิวเตอร์ แต่จบวิศวกรรมเครื่องกล ปัจจุบันนี้บริษัทของคุณราเมศวร์มีพนักงาน 400 คน เป็นบริษัทเอกชน ไม่ได้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ และไม่เคยกู้เงินแบงก์เลย (มีแต่แบงก์มาขอให้กู้) แปลว่าบริษัทเติบโตมาจากเงินสามแสนบาทจริงๆ
ผมไม่แน่ใจว่าปัจจุบันคุณราเมศวร์อายุเท่าไหร่ แต่คิดว่ามีอาวุโสพอสมควร น่าจะราวๆ 50 ปีได้ เรียกได้ว่าอยู่ในวัยเดียวกับผู้บริหารระดับสูงสุดขององค์กรส่วนใหญ่เลย ถึงจะมีอายุแล้ว แต่ก็ยังดูแอคทีฟและมีพลังล้นเหลือ ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลยสำหรับคนที่เป็นผู้นำองค์กรที่เริ่มต้นตั้งแต่ 3 คน จนมาถึงระดับ 400 คนได้
ประเด็นที่คุณราเมศวร์พูดไว้อย่างน่าสนใจมีอยู่หลายเรื่องเลย เรื่องแรกที่ผมทึ่งมากๆ ก็คือการวาง Career Path ให้กับพนักงาน บริษัทที่ดีควรจะมี career path ให้พนักงานเห็นภาพว่าเขาจะเติบโตในหน้าที่การงานอย่างไร ตัวอย่างเช่น Programmer -> Senior Programmer -> System Analyst -> Project Leader -> Project Manager เป็นต้น แต่แนวคิดของคุณราเมศวร์นั้นต่างออกไป ก็คือคนในวงการไอทีมีไม่กี่คนหรอกที่จะอยู่กับบริษัทไปนานๆ อย่างมากก็ 7 ปี ดังนั้นวาง Career Path ไว้แค่ 7 ปีก็พอ หลังจากนั้นถ้าพนักงานไม่ลาออกเพื่อเปลี่ยนบริษัทก็ลาออกเพื่อไปตั้งบริษัทตัวเอง ซึ่งคุณราเมศวร์ก็จะสนับสนุนให้พนักงานออกไปตั้งบริษัท ถ้าให้ดีก็ควรชวนเพื่อนพนักงานคนอื่นๆ ไปด้วย และถ้าเงินทุนไม่พอก็ให้พนักงานรวมถึงคุณราเมศวร์เองมีส่วนในการลงทุนเพื่อถือหุ้นในบริษัทใหม่ได้ นอกจากนี้คุณราเมศวร์ก็จะคอยส่งงาน (Outsource) ให้ด้วย
จะเห็นได้ว่าวิธีการนี้เป็นการเปลี่ยนจากพนักงานมาเป็นหุ้นส่วน ทำให้พนักงานที่เดิมเป็นคนทำงานกินเงินเดือนไปวันๆ ก็กลายเป็นเจ้าของงานที่ต้องทุ่มเทรับผิดชอบงานอย่างเต็มที่ ลดภาระบริษัทที่จะต้องจ่ายเงินเดือนพนักงานให้ได้ทุกเดือน และยังช่วยให้บริหารกำลังการผลิตซอฟต์แวร์ได้ง่ายขึ้นด้วย ถ้าช่วงไหนที่มีงานเข้ามามากเกินกำลังพนักงาน 400 คนที่มีอยู่ ก็ใช้วิธี Outsource ให้บริษัทของพนักงานเก่าไปทำ ทำให้ไม่ต้องจ้างพนักงานใหม่เพิ่ม (ซึ่งจะตามมาด้วยภาระการจ่ายเงินเดือนให้พนักงานคนนั้นอีกนาน) ปัจจุบันนี้ ทั้งพนักงาน In-house และพนักงาน Outsource ที่คุณราเมศวร์มีประมาณ 800 คน และบริษัทที่เป็นพันธมิตรทั้งที่มีหุ้นและไม่มีหุ้นอีกหลายบริษัท เรียกได้ว่าเป็นเสมือนคลัสเตอร์ของอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ได้เลย
ประเด็นต่อมาที่ผมชอบก็คือวิธีการคิดบวก บริษัทซอฟต์แวร์จำนวนมากในไทยที่ประสบปัญหาแรงงานคุณภาพต่ำ เด็กจบใหม่มาสมัครเป็นโปรแกรมเมอร์แต่ทำงานอะไรไม่ได้เลย คุณราเมศวร์ก็จะให้เริ่มจากการทำงานง่ายๆ อย่างเขียน Report ไปก่อน เขียนได้อาทิตย์ละหนึ่ง Report ก็ยังดี ระหว่างนี้ก็เทรนไปเรื่อยๆ พอเดือนที่สี่ก็เริ่มให้ทำงานที่ยากขึ้น เดือนที่เจ็ดก็ยากขึ้นไปอีกขั้น ใครที่เทรนไปสักพักแล้วย้ายไปบริษัทอื่นก็ช่างมัน ดีซะอีก ประหยัดเงินเดือน
พอได้ฟังแบบนี้ทำให้ผมเข้าใจอะไรขึ้นเยอะเลย ก่อนหน้านี้ผมเคยทำงานเป็น Project Leader ใน Software House แห่งหนึ่ง ด้วยความที่เจ้านายเป็นอเมริกันและอยากทำให้บริษัทตัวเองเป็นแบบ Google คือมีแต่คนเก่งๆ เข้ามาทำงาน ก็เลยใช้วิธีให้เงินเดือนสูงๆ เพื่อจูงใจคนมีฝีมือ แต่พอบริษัทเริ่มพัฒนาโครงการหนึ่งให้ลูกค้า ซึ่งเป็นโครงการที่ใหญ่และมีเวลาจำกัดมาก ขณะที่มีทรัพยากรคือโปรแกรมเมอร์ไม่เพียงพอ (ตามหลักของ Project Management กรณีนี้คือขาของ Scope ยาวเกินไป ขณะที่ขา Time และ Cost/Resource สั้น ทำให้โครงการขาดความสมดุล) บริษัทก็เลยต้องเร่งจ้างคนเข้ามา ซึ่งที่นี่คือประเทศไทย ไม่ใช่อเมริกา ผลที่ได้ก็คือคนส่วนใหญ่ที่จ้างเข้ามาเป็นเด็กจบใหม่ที่ยังทำงานจริงไม่ได้ ต้องมีการเทรนก่อน แต่ก็ไม่มีเวลาที่จะมานั่งเทรนเพราะต้องเร่งทำโครงการให้เสร็จทันตามกำหนด ทำให้โครงการวุ่นวายยุ่งเหยิงมาก
เมื่อมองกลับไปที่บริษัทของคุณราเมศวร์ ทำให้เห็นว่าบริษัทเก่าผมมีข้อผิดพลาดในการบริหารงานอยู่สองจุด (อันนี้ไม่ได้จะเบลมบริษัทเก่านะครับ แต่อยากให้ดูเป็นกรณีศึกษา บ่อยครั้งที่ตัวอย่างของความล้มเหลวมีค่ามากกว่าตัวอย่างของความสำเร็จ) จุดแรกก็คือการประเมินคุณภาพแรงงานด้านไอทีในไทยเกินกว่าความเป็นจริง และคาดหวังไว้กับการตามล่าหาคนเก่ง จุดที่สองคือการขยายตัวเร็วเกินไป รับงานใหญ่เข้ามาทำโดยที่ทรัพยากรในบริษัทยังไม่พร้อม ขณะที่การบริหารของคุณราเมศวร์จะไม่เจอข้อผิดพลาดสองอย่างนี้ เพราะไม่ฝากความหวังไว้กับคนเก่ง ยอมรับความจริงว่าเด็กจบใหม่จำนวนมากยังเริ่มทำงานจริงไม่ได้ ต้องมีการเทรนให้ก่อน และมีการบริหารกำลังการผลิตได้ดี ถ้ามีงานเข้ามาล้นมือก็สามารถส่งต่อให้บริษัทพันธมิตรได้
การคิดบวกอีกอย่างหนึ่งของคุณราเมศวร์ที่ผมชอบก็คือเรื่องการทุ่มเททำงานของคนไทย วิศวกรของ Apple จะมีเสื้อยืดที่สกรีนข้อความว่า 90 hours/week ซึ่งหมายถึงการทุ่มเททำงานอย่างหนักเพื่อให้ผลิตภัณฑ์ออกมาดีที่สุด ขณะที่คนไทยเราทำงานสัปดาห์ละ 5 วัน วันละ 8 ชั่วโมง แต่ทำจริง 6 ชั่วโมง แปลว่าเราทำงาน 30 hours/week ซึ่งคุณราเมศวร์ก็มองว่าดีแล้ว ขืนให้ทำมากก็ยิ่งมีบั๊กมาก นั่งทำบั๊กสองวัน แก้บั๊กอีกสามวัน หมดสัปดาห์พอดี (ฟังดูเหมือนตลกร้าย…แต่จริง)
ขอย้อนกลับมาที่การวาง Career Path ให้พนักงาน 7 ปี และสนับสนุนให้พนักงานตั้งบริษัทเอง คำถามก็คือพนักงานจะมีเงินมาตั้งบริษัทได้เหรอ วิธีการที่คุณราเมศวร์สอนพนักงานก็คือให้ตั้งเป้าหมาย (อย่างเหมาะสม) ว่าในแต่ละเดือนจะมีเงิน “เหลือ” กี่บาท อย่าตั้งเป้าหมายว่าจะมีรายรับหรือเงินเดือนกี่บาท เช่น เงินเดือน 15,000 บาท ตั้งใจว่าจะเหลือเงิน 4,000 บาททุกเดือน ก็ต้องพยายามทำให้ได้ ถ้าเหลือไม่ถึงก็ให้ดูว่ามีรายจ่ายอะไรบ้าง ค่ารถ ค่ากิน ค่าดูหนัง ค่าเที่ยวผับ ฯลฯ ให้เรียงลำดับความสำคัญจากมากไปน้อย อย่างค่าเที่ยวผับนี่เอาไว้สุดท้ายเลย เวลาใช้เงินก็ใช้กับสิ่งที่สำคัญก่อน ถ้าเงินเหลือก็ค่อยไปเที่ยวผับ ถ้าไม่ใช้เงินกับสิ่งไม่สำคัญแล้วยังเหลือเงินไม่ถึงเป้า ก็ให้ดูว่าจะลดอะไรได้อีก ถ้ากินข้าวแถวที่ทำงานแล้วใช้เงินมากเกินไปก็ให้ห่อข้าวจากบ้านมากิน ถ้าทำทุกวิธีแล้วก็ยังเหลือเงินไม่ถึงเป้า ก็ให้เข้าไปพูดกับพ่อว่า “พ่อครับ พ่ออยากให้ผมเป็นคนที่มีเป้าหมายและพยายามทำให้บรรลุเป้าหรือเปล่าครับ ถ้าพ่อให้เงินผม ผมก็จะเป็นได้ครับ”
ฟังดูเหมือนตลกนะ แต่นี่คือการสะท้อนวิธีคิดแบบ Can Do Attitude เมื่อตั้งเป้าหมายแล้วต้องหาทางทำให้ได้ ต้องปรับแผนตลอดเวลาเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้แล้วก็เลยปรับลดเป้าหมายลง ซึ่งวิธีคิดแบบนี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ
เมื่อสามารถเก็บเงินได้แล้ว ก็ให้เอาเงินไปลงทุนในบริษัทของพนักงานที่ออกไปตั้งบริษัท ได้ผลตอบแทนปีละ 10% - 30% เก็บเงินเพิ่มและลงทุนทบต้นไปเรื่อยๆ แค่ 7 ปีก็จะมีเงินล้าน เพียงพอที่จะออกไปเปิดบริษัท ทำบริษัทไปจนอายุ 40 ปีจะมีเงิน 10 ล้าน ถ้าทำถึงอายุ 50 ปีจะมีเงิน 30 ล้าน
ประเด็นต่อมาคือการบริหารผลประโยชน์ของ Stakeholders ก็คือบริษัทจะต้องทำให้ลูกค้าพอใจกับสิ่งที่เขาได้รับ ต้องทำให้พนักงานพอใจกับงานและเงินเดือน ซึ่งพนักงานหลายคนอยากทำงานสบายๆ เงินเดือนเยอะๆ ถ้าบริษัททำได้ก็ทำ ถ้าทำไม่ได้ก็ให้ไล่พนักงานมันออกไปซะ (555) และบริษัทต้องทำให้ผู้ถือหุ้นพอใจกับผลตอบแทน ถ้าเป็นผู้ถือหุ้นที่ลงแรงด้วยก็ควรให้สัก 30% แต่ถ้าเป็นผู้ถือหุ้นที่ลงเงินอย่างเดียวก็เอาไปแค่ 10% พอ
เรื่องสุดท้ายคือการรับงานจากลูกค้า ถ้าลูกค้าต่อราคา คุณราเมศวร์จะบอกว่าให้ไปต่อคิวด้านหลังนู่นเลย เพราะอย่างที่รู้กันคือธุรกิจซอฟต์แวร์มี Demand มากกว่า Supply มีบริษัทที่ต้องการคนมาพัฒนาซอฟต์แวร์ให้อยู่เยอะแยะ ลูกค้ารายไหนที่ต่อราคาก็รอไปหน่อยละกัน ถ้าลูกค้าถามว่าทำไมถึงคิดราคาสูงเท่ากับที่บริษัทยักษ์ใหญ่คิด คุณราเมศวร์ก็จะตอบว่า “ถ้าผมคิดราคาถูกกว่าบริษัทใหญ่แล้วผมจะเอาอะไรกิน”
ใครที่สนใจทำงานกับบริษัทนี้ก็ลองสมัครไปดูนะครับ ผมคิดว่าเงินเดือนคงไม่มาก แต่สิ่งที่ได้คงเป็นความรู้และประสบการณ์หลายอย่าง ทั้ง Hard Skill ที่เป็นความรู้ตรงด้านไอที และ Soft Skill อย่างเรื่องวิธีการบริหารจัดการชีวิตตัวเอง
จะเห็นได้ว่าบริษัทนี้ไม่ยอมให้ลูกค้าต่อราคา ทำให้มีรายรับสูง และอาจจะจ่ายเงินเดือนพนักงานน้อย ซึ่งทำให้รายจ่ายต่ำ ส่วนต่างระหว่างรายรับกับรายจ่ายซึ่งก็คือกำไรก็เลยกว้าง บริษัทเลยมีกำไรเยอะและสามารถขยายกิจการจนเติบใหญ่ได้โดยไม่ต้องกู้แบงก์เลย

ที่มา http://blog.macroart.net/2008/06/do-and-dont-for-running-successful-software-company.html (ต้องขออนุญาติเจ้าของกระทู้ด้วยนะครับ ขอมาโพสเก็บไว้เตือนใจ คุณอภิศิลป์ ตรุงกานนท์ เขียนได้ดีจัง)

Sunday, June 15, 2008

My Notebook

ในที่สุดเรากำลังจะได้เป็นเจ้าของ notebook ด้วยเงินของเราเองแล้ว (ถ้าผ่อนหมดในอีก 10 เดือนข้างหน้านะ อิอิ) รุ่นที่ซื้อก็ Toshiba M200-E4311T ในราคา 34,133 บาท ของแถมที่ได้ก็มี Mouse ของ Toshiba, Soft case, Ram 1G, กระเป๋าหนังสีดำ, แผ่นพลากสิกรอง keyborad และนอกจากนี้ยังจนไม่พอ ต้องหาเรื่องเสียเงินอีก โดยซื้อประกันเพิ่มอีก 1 ปี ก็ต้องเสียเงินอีก 1400 บาท เฮ้ย เดือนนี้ใช้เงินเยอะจริงๆ เลย

Monday, June 9, 2008

จะจิตตกไปถึงไหนกัน

อยากบอกว่า ช่วงนี้รู้สึกเหนื่อยๆ ไม่ค่อยอยากทำอะไรเลย แย่จังอยากให้เวลาแบบนี้ผ่านไปเร็วๆ จัง (ชิ่วๆ ไปซักทีซิ) นอกจากช่่วงนี้จะรู้สึกเหนื่อยกายแล้ว ยังรู้สึกเหนื่อยใจด้วย ไม่รู้เป็นอะไรคิดแต่เรื่องในแง่ลบตลอดเลย ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องน้อยก็หงุดหงิด ไม่พอใจไปซะทุกอย่าง ต่างจากเมื่อก่อนจะมองทุกสิ่งเป็นบวกหมด สามารถยอมรับเรื่องผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ได้ จะว่าไปช่วงนี้คงจะเป็นช่วงที่จิตตกที่สุดเลยก็ว่าได้ เอาเป็นว่านับตั้งแต่ตอนนี้จะพยายามกลับมาเป็นคนเดิม เริ่มจากคิดบวกก่อน เผื่อเรื่องร้ายๆ จะได้ไม่เข้ามาอีก (ยิ่งคิดเรื่องลบมาก มันก็มีเรื่องไม่ดีเข้ามามากเหมือนกันนะ)
โย่ว ปุณสู้ๆ :)

Sunday, June 8, 2008

การทำ Thesis

Thesis หรือที่รู้จักกันอีกชื่อหนึ่งในภาษาไทยก็คือ วิทยานิพนธ์ หรือถ้ายังงงอยู่ จะกล่าวในรายละเอียดคร่าวๆ ได้ว่า การทำงานวิจัย หรือการศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่เราสนใจ เรื่องใดเรื่องหนึ่ง สาขาใดสาขาหนึ่ง แล้วนำมาประยุกต์เพื่อให้ได้งานใหม่ที่เกิดจาก Idea ของผู้ทำเอง ซึ่งการทำวิทยานิพนธ์ ส่วนใหญ่ทำตอนที่เรากำลังจะจบการศึกษาในสถานศึกษาระดับอุดมศึกษา

การทำวิทยานิพนธ์ เราต้องรู้สิ่งต่อไปนี้
  1. เราจะทำเรื่องอะไร สาขาไหน และทำเพื่ออะไร
  2. ขอบเขตของงานวิจัย ซึ่งอันนี้สำคัญมาก ต้องระบุให้ชัดเจนนะ
  3. ตัวชี้วัด เพื่อใช้เปรียบเทียบกับงานวิจัยหรือ algorithm ที่เคนมีอยู่ในอดีด กับงานวิจัยของเรา
  4. รูปแบบของผลงาน เมื่อทำเสร็จแล้ว
  5. สมมติฐานต่างๆ ที่กำหนดขึ้นเพื่อทำงานวิจัย เช่น เราไม่สนใจตัวแปรอะไร ต้องระบุไว้ด้วย
  6. ข้อจำกัดของงานวิจัย หรือทฤษฏีที่นำมาใช้
  7. การนำงานวิจัยชิ้นนี้ไปใช้ต่อ เมื่อทำเสร็จแล้ว

Thursday, June 5, 2008

ชอบประโยคนี้มากๆ

Walt Disney Quotes:
"If you can dream it, you can do it."

Monday, June 2, 2008

Java Technology Concept Map

วันนี้ได้ใช้ google ค้นหาข้อมูล (จริงๆ ก็ใช้ทุกวันแหละ ถ้าโลกนี้ไม่มี google จะเกิดไรขึ้นฟระเนี่ย)
เกี่ยวกับ bug ที่สร้างขึ้น แต่ก็ยังหาไม่เจอซักทีเลย แต่ก็ยังโชคดีได้ไปเจอของดีของ sun เข้า นั่นคือ Java Technology Concept Map ถ้าสนใจสามารถดูได้จาก link ได้เลยนะ http://java.sun.com/new2java/javamap/intro.html สำหรับ pdf format: http://java.sun.com/new2java/javamap/Java_Technology_Concept_Map.pdf

Tuesday, May 20, 2008

HP LaserJet P1006

ในที่สุดก็ได้เป็นเจ้าของ HP LaserJet P1006 ซะที หลังจากที่เก็บเงินมานานหลายเดือน ตอนที่ซื้อมาราคาที่ติดไว้ 4290 บาท แต่เค้าแถมบัตรเติมน้ำมันด้วยแหละ แต่เราขอไม่เอาดีกว่า เพราะรถก็ไม่มี เค้าเลยลดได้ 300 เลย เหลือแค่ 3990 บาทเอง ตอนแรกก็ตื่นเต้นไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถซื้อปริ้นเตอร์เลเซอร์ของ HP ได้ในราคาไม่ถึง 4000 บาท

Monday, May 12, 2008

:: Goal :: อีก 7 ปี ต้องมีบริษัท

ลองคิดดูเล่นๆ ดีกว่า ว่า ในอีก 7 ปีข้างหน้าอยากมีอะไรบ้าง เพราะเจ้านายเคยสอนว่า ถ้าเราคิดว่าเราเป็นอย่างไร เราก็จะเป็นอย่างนั้น คิดว่าอยากได้อะไร ก็จะได้อย่างนั้น ซึ่งในอีก 7 ปี ข้างหน้า เราอยากทำสิ่งต่อไปนี้
  1. มีบริษัท หรือ ธรุกิจเป็นของตนเอง
  2. ซื้อบ้านใหม่
  3. ซื้อรถยนต์ใหม่
  4. อยากมีงานวิจัยที่มีคนหลายคนยอมรับ และเป็นประโยชน์แก่คนอื่น
  5. อยากเที่ยวแบบเรือสำราญอีกครั้ง
  6. อยากนั่งเครื่องบิน โดยที่ไม่ต้องใช้เงินของตัวเอง
  7. อยากรวย มีเงินเก็บเป็นก้อนซักหน่อย ( 3 ล้าน น่าจะ ok)
  8. อยากให้สลากออมสินที่ซื้อไว้ถูกรางวัลบ้าง
  9. อยากเรียนให้ได้ปริญญาโท 2 ใบ หรือ ปริญญาเอกอีกซักใบ
  10. อยากเขียนหนังสือขาย
  11. อยากทำงานอย่างอื่นเป็นที่ไม่เกี่ยวกับด้าน software development
ปล. ข้างบนเป็นสิ่งที่ลองคิดเล่นๆ ดู แต่เดี๋ยวอีก 7 ปี ค่อยมาดูกันว่ามีอะไรสำเร็จแล้วบ้าง

Wednesday, April 30, 2008

มาวางแผนการเงินกัน

หลังจากที่ได้ผ่านการสอนและการแนะนำจากพี่ที่ soft sqaure เรื่องการวางแผนทางการเงินในอนาคตแล้ว รู้สึกว่ามันดีมากๆ เลยเอามาแบ่งปันกันดีกว่า
วิธีการนั้น ไม่มีอะไรตายตัวที่แน่นอน สามารถปรับแต่งได้ขึ้นอยู่แต่ละบุคคล แต่สำหรับเรานั้น มีแนวทางดังนี้
  1. กำหนดเงินที่ต้องการเก็บในแต่ละเดือน โดยไม่จำเป็นต้องเท่ากันทุกเดือนก็ได้นะ เพราะการใช้ชีวิตประจำวันของแต่ละเดือนคงไม่เหมือนกัน เดือนนี้อาจจะเที่ยวเยอะหน่อย เดือนหน้าอาจจะต้องเรียน ซึ่งมันก็จะมีรายจ่ายที่แตกต่างกัน
  2. ก่อนจะซื้อของอะไร ต้องคิดให้ดีก่อนว่ามันจำเป็นแค่ไหน และถ้าซื้อมาแล้วมันมีประโยชน์อย่างไรต่อเราบ้าง
  3. ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น และไร้สาระ
  4. บันทึกรายรับ รายจ่าย ในแต่ละวัน โดยแบ่งเป็นหมวดหมู่ให้ชัดเจน อย่างเช่น ค่าอาหาร ค่าที่พัก ค่าโทรศัพท์ ค่าเดินทาง ค่าหนังสือ ค่าของใช้ต่างๆ
  5. เก็บสถิติในแต่ละเดือนแล้วนำมาวิเคราะห์ย้อนหลัง เพื่อทำเป็นสถิติในแต่ละปี และยังเป็นการประมาณค่าใช้จ่ายที่เราจำเป็นต้องใช้ในแต่ละเดือนอีกด้วย
  6. ข้อนี้ก็สำคัญ เราต้องตั้งเป้าหมายเงินเก็บที่ต้องการมีในอนาคต เช่นในช่วง 1 ปี, 5 ปี, 10 ปีข้างหน้าว่าต้องการมีเงินเก็บเท่าไหร่ เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เราไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ นั่นคือ รวย...

จากทั้งหมด 6 ข้อ จะเห็นว่าไม่ยากเลย ถ้าเราคิดว่าอยากจะรวย อยากจะมีเงินเก็บ ขึ้นอยู่กับว่า จะเริ่มต้นเมื่อไหร่เท่านั้นเอง

Tuesday, April 8, 2008

มือสมัครเล่น VS มืออาชีพ

คุณรู้มั้ย มืออาชีพ ต่างกับมือสมัครเล่นตรงไหน ?

  • มือสมัครเล่น จะทำงานไม่สำเร็จ แม้ว่าเค้าอยากจะทำงานนั้นมากแค่ไหนก็ตาม และมีเหตุผลร้อยพัน ว่าทำไมมันถึงไม่สำเร็จ
  • ส่วนมืออาชีพนั้น จะทำงานสำเร็จเสมอ แม้ว่าเค้าจะไม่อยากทำงานนั้นๆ เลยก็ตาม ไม่ว่าจะเบื่อหน่าย เหนื่อย ใดๆ ก็ตามแต่ งานจะเสร็จเสมอ แม้ว่าบางครั้งเค้าก็บอกเหตุผลไม่ได้เหมือนกัน
ที่มา: จากบทความใน internet น่าเสียดายที่จำเวปไม่ได้อะ

Thursday, April 3, 2008

เรื่องของ "น้ำ"

บทสัมภาษณ์ของดาราสาวสวยระดับนางเอกท่าน หนึ่ง เกี่ยวกับร่างกายของเธอที่มีการผิดปกติ เธอมีอาการอุจจาระไม่ออก เมนส์ไม่มา แถมเธอยังเข้าใจว่าการที่เมนส์มาบ้างไม่มาบ้างแล้วแต่อารมณ์นั้นเป็นเรื่องปกติขอผู้หญิงซะอีกเธอบอกว่าไม่ชอบดื่มน้ำเพราะจะทำให้ปัสสาวะบ่อย ส่วนใหญ่พวกดาราก็มักเป็นอย่างนี้ เพราะต้องอยู่แต่ ในกองถ่ายจะหาห้องน้ำสะอาดๆยากเลยต้องอั้นอุจจาระปัสสาวะเอาไว้ หรือแก้โดยการไม่ดื่มน้ำจะได้ไม่ ต้องปัสสาวะ พฤติกรรมดังกล่าวนี้ไม่ใช่แค่เฉพาะดาราหรอกครับมีอีกหลายอาชีพที่เป็นกันอย่างนี้ อาจจะ เป็นเพราะภาวะสังคมที่รีบเร่งแข่งขันกันท่านที่ทำงานนั่งอยู่กับคอมพิวเตอร์หรือพนักงานทำบัญชีด้วยแล้ว ไม่ค่อยอยากจะลุกไปเข้าห้องน้ำกันกลัวจะเสียเวลาทำงานหรือลืมเข้าห้องน้ำก็มี พอทำอย่างนี้ไปนานๆเข้าร่างกายเราก็สร้างความคุ้นเคยว่าไม่ต้องอุจจาระไม่ต้องปัสสาวะกันเลยโดยร่างกายเข้าใจว่าวิธี การนี้ถูกต้อง
ร่างกายของคนเราประกอบด้วยน้ำ 70 กว่าเปอร์เซนต์ เลือดเราประกอบด้วยน้ำ 90กว่าเปอร์เซนต์ กระดูกเราก็ประกอบด้วยน้ำ 22 เปอร์เซนต์ ร่างกายเราเสียน้ำวันละ 2 ลิตรเศษแล้วรับน้ำเข้าไปเพียงพอหรือไม่ ถ้าไม่พอเราก็ถือว่าขาดน้ำร่างกายและอวัยวะภายในจะรวนผิดปกติไปหมด เลือดเราจะข้นหนืด ยากที่หัวใจจะสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกายส่วนต่างๆของร่างกายหัวใจเองนั่น แหละจะตีบตันเสียก่อน ต้องทำบายพาสกันวุ่นวาย ความจำก็จะเสื่อมหรือเป็นอัลไซเมอร์เพราะเลือด เลี้ยงสมองไม่พอ เส้นเลือดก็จะตีบตันหมดหรือไม่มีเลือดจะขึ้นไปเลี้ยง จากประสบการณ์ที่พบคนไข้ที่เป็นโรคความจำเสื่อมเป็นถึงระดับผู้บริหารใหญ่ๆก็หลายท่าน ดื่มน้ำวันละ2-3 แก้ว ไม่เกิน 500 ซี.ซี. เลือดก็ข้นหนืด เต็มไปด้วยไขมัน
สังเกตุได้หัวตาเหมือนกับเอาพู่กันป้ายสีขาวไว้และก็ฟันธงได้เลยว่าทุกรายถ้าดื่มน้ำอย่างนี้คลอเรสเทอรอลสูงทุกคน รอให้เส้นเลือดอุดตันได้เลย เมื่อไปหาหมอหมอก็จะจ่ายยาละลายลิ่มเลือดให้กิน มันก็เหมือนเราเอาสารส้มแกว่งในตุ่มน้ำเพื่อให้น้ำใสตะกอนเมื่อมันนอนก้นน้ำก็จะใส แต่ถ้าเอาอะไรไปแกว่งทำให้น้ำกระเทือน ตะกอนก็ยังจะลอยขึ้นมาทำให้น้ำขุ่นอีกอยู่ดีเช่นเดียวกัน เมื่อเรากินยาเลือดก็จะใส แค่ตะกอนในร่างกายมันยังไม่ออก ยังนอนก้นอยู่ใน ร่างกายเราดังนั้นเราต้องใช้น้ำพาตะกอนเหล่านั้นออกมาให้ได้ ไม่อย่างนั้นมันก็จะกลับไปอุดตันเส้นเลือด เราอีก
เมื่อร่างกายขาดน้ำลำไส้ก็แห้ง ไม่มีน้ำที่จะพอเอาอุจจาระออกมาได้ของเสียก็จะสะสมอยู่ในลำไส้และ ลำไส้ก็ดูดซึมของเสียนั้นกลับเข้าร่างกายอีก เลือดเราก็ยังสกปรกและข้นหนืดมากขึ้นไปอีก และลอง พิจารณาดูครับว่าเลือดที่เสียเมื่อเข้าไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายแล้วนั้น จะให้เกิดปัญหาตามมาอีกมาก มายเพียงใดที่ถูกแล้วเราควรจะอุจจาระ1-3 ครั้งทุกๆวัน ออกมาเป็นเส้นไม่เล็กนัก ปริมาณพอสมควรกับอาหารที่เราทานเข้าไป ไม่ใช่ทานเข้าไป 1 กิโลกรัม ถ่ายออกมา 1 ขีด ที่เหลือหายไปไหนหมด มันเข้าไปบำรุงร่างกายเราทั้งหมดหรือ ถ้าเป็นอย่างนั้นเราคงตัวโตเท่าช้างแน่ การที่รอบเดือนหายไป 5-6 เดือนหรือมาๆหยุดๆ แล้วแต่อารมณ์นั้นไม่ใช่เรื่องปกติของผู้หญิงทั่วไป ที่ถูก แล้วรอบเดือนจะช้าเร็วไม่ควรเกิน 7 วันถ้าผิดไปจากนี้ถือว่าไม่ถูกต้อง ยกเว้นแต่ตั้งครรภ์สำหรับดาราสาวท่านนี้ ดื่มน้ำน้อยมาก เลือดคงจะข้นหนืดผนังมดลูกคงจะแห้งไม่ลอกหลุดออกมาเมื่อมีไข่ ตกและไม่ได้รับการผสมพันธุ์เลือดนั้นก็ยังสะสมเป็นของเสียอยู่ที่ผนังมดลูกเดือนแล้วเดือนเล่า เมื่อช่อง ทางการขับของเสียดำเนินไม่ได้ตามธรรมชาติร่างกายก็จะสร้างรั้วขอบเขตเป็นถุง เป็นเนื้องอกมาหุ้ม ห่อของเสียนั้นไว้ของเสียก็จะค่อยๆกลายเป็นเนื้องอกและกลายเป็นมะเร็งในที่สุด
ช่องทางในการขับของเสียออกจะมีอยู่ 5 ช่องทางด้วยกันคือ
1. ไต ขับออกมาทางปัสสาวะ
2. ลำไส้ใหญ่ ขับออกมาทางอุจจาระ
3. ปอด ขับออกมาทางลมหายใจ
4. ผิวหนัง ขับออกมาทางเหงื่อ
5. รอบเดือน ขับออกมาทางประจำเดือน
เมื่อช่องทางการขับของเสียไม่สมบูรณ์หรือถูกปิดกั้นมันก็จะต้องพยายามหาทางออกให้ได้ เช่น ออกมาเป็น สิว ฝ้า กระ ฝี ริดสีดวง สิ่งเหล่านี้เป็นของเสียที่ร่างกายพยายามขับออกมาทั้งนั้นดังนั้นถ้าเรามีอาการ ดังที่กล่าวมา ก็ขอให้เราจงเข้าใจด้วยว่าร่า?กายเรามีของเน่าเสียอยู่ภายในแล้วมันเป็นสัญญาณเตือนภัย ที่เราไม่ควรมองข้าม หรือกินแต่ยา ฉีดยากดอาการเหล่านี้ไว้ไม่ให้แสดงออกเพราะนั่นไม่ใช่วิธีการรักษา หรือบำบัดโรคต่างๆให้หายไป แต่กลับเป็นการทำให้โรคหรืออาการนั้นรุกคืบไปเรื่อยๆเหมือนรุกใต้ดินโดย ที่เราไม่รู้สึกอะไร จะรู้สึกตัวอีกทีก็ต่อเมื่อสายเสียแล้ว...
-------------------------------------------------------------------------------------------------
ที่มา : นิตยสารตั้งตัว ฉบับเดือน เมษายน

Wednesday, April 2, 2008

งานใหม่ และสิ่งใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น

ตอนนี้ได้เปลี่ยนที่ทำงานใหม่ละ ก็เปลี่ยนไปทำที่ EGAT บ้าง ขณะนี้ก็ทำงานมาได้ 1 เดือนแล้วตั้งแต่ต้นเดือน มีนาคม 2551 แต่จนถึง ณ บัดนี้เงินเดือนของเดือนที่แล้วยังไม่ออกเลย เดือนนี้เราจะเอาเงินจากไหนมาใช้จ่ายละเนี่ย ย้ายมาอยู่ที่ใหม่ก็ต้องปรับตัวใหม่ ให้เข้ากับสังคมใหม่ๆ ช่วงนี้ก็ต้องปรับตัวเยอะเหมือนกัน คงจะทำตัวเป็นเด็กๆ เหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้วละ

Friday, February 1, 2008

กินกบตั้งแต่เช้า

กินกบตั้งแต่เช้า
Eat That Frog

ศัตรูตัวเล็กๆ ที่มีประสิทธิภาพสูงในการสกัดกั้นความสำเร็จ คือ นิสัยการผัดวันประกันพรุ่ง ทางแก้คือคุณจะต้องมีวินัยเพื่อจัดการในเรื่องนี้ การวินัย หมายความว่า ต้องวันต่อวัน เราควรจะตั้งเป้าหมายว่า จะต้องทำงานย่อยๆ ให้สำเร็จจากเป้าหมายใหญ่ที่เรามีอยู่แล้ว เพื่อให้ความสำเร็จเล็กๆ นำไปสู่ความสำเร็จใหญ่ๆ ได้ เพื่อสร้างวินัย งานชิ้นแรกที่คุณควรทำในแต่ละวัน คือ งานที่คุณไม่อยากทำที่สุดจนคุณอยากจะผัดไปเรื่อยๆ เพราะเมื่อใดที่คุณทำงานประเภทนี้สำเร็จแล้ว งานอื่นจะเป็นงานง่ายหมด ฝรั่งเรียกสิ่งนี้ว่า Eat that frog หมายความว่า กินกบตัวนั้นไปก่อน ถ้าตอนเช้าคุณรู้ว่าคุณต้องกินกบ ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากและไม่อยากทำมากที่สุดสำเร็จ ส่วนที่เหลือทั้งวันก็จะเป็นงานง่ายหมด
นี่คือความมีวินัย บังคับตัวเองให้ทำงาน ถึงแม้เป็นงานที่เราไม่ชอบเท่าไหร่ เป็นงานยาก ทำให้สำเร็จไปก่อน อย่าผัดวันประกันพรุ่ง
*จากหนังสือ Eat That Frog โดย Brain Tracy

Tuesday, January 1, 2008

เข้าสู่ปีใหม่แล้ว

สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๑ (-+-Happy New Year 2008-+-) ทุกๆ คน