Sunday, November 30, 2008
Amazing word "FAMILY"
Father
And
Mother
I
Love
You
Monday, November 24, 2008
Watts S. Humphrey Quotes
1. "If you don't allow any requirements changes, you could build the wrong product and waste the entire development effort."
2. "If you don't rigorously control changes, you will never finish development."
Saturday, October 25, 2008
Set Wireless Lan for Ubuntu
sudo gedit /etc/modprobe.d/options
and then,
options iwl3945 disable_hw_scan=1
Credit: Munin MCPE
Install JDK for Ubuntu
sudo mv jdk-1_5_0_06-linux-i586.bin /usr/local
cd /usr/local
sudo chmod a+x jdk-1_5_0_06-linux-i586.bin
sudo sh jdk-1_5_0_06-linux-i586.bin
credit: Arktis from: http://ubuntuforums.org/showthread.php?t=148075
ต่อมาก็ set JAVA_HOME เพื่อให้สามารถใช้จาวาได้ทุกที่ โดย
ไปที่ home directory เปิดไฟล์ .bashrc และเพิ่มข้อความที่ท้ายไฟล์ไว้ดังนี้
create linkexport JAVA_HOME=/usr/local/jdk-x.xxx.xxx
export PATH=$PATH:$JAVA_HOME/bin
จากนั้นลอง logout เข้ามาใหม่ แล้วเปิดเทอร์มินอล พิมพ์ javac ดูนะครับ น่าจะใช้ได้แล้ว
sudo update-alternatives --install /usr/bin/java java /usr/local/jdk1.6.0_11/bin/java 500
sudo update-alternatives --config java
Thursday, October 16, 2008
Java Programming Style Guidelines
http://geosoft.no/development/javastyle.html
Monday, October 13, 2008
การแปลงค่าใน JavaScript
var num = '20';
Number(num);
or
parseInt(num);
ทำไมต้องแปลงด้วยละ????
เพื่อให้สามารถทำค่ามากระทำกัน ... ในทางคณิตศาสตร์ได้ เช่น +, -, *, / ไงจ๊ะ
ถ้าไม่แปลงค่าก่อน ตัว JavaScript จะเข้าใจว่า เราต้องการเอา String มาต่อกันนะ โฮ๊ะๆ ๆ เจ๋งจริงๆ
Tuesday, September 16, 2008
วิธีการออกจาก loop (break) มากกว่า 2 loop ขึ้นไป
2. ใช้ break ตามด้วย lable ที่ต้องการ
ตัวอย่างเช่น
Loop1: for( ... ; ... ; ... ) {
Loop2: for( ... ; ... ; ... ) {
break Loop1;
}
}
Wednesday, September 10, 2008
Anchor Text
ยกตัวอย่างเช่น
<a href="main.html">หน้าหลัก</a>
จากตัวอย่างสรุปได้ว่า anchor text คือ "หน้าหลัก"
ส่วน hyperlink คือ "main.html" นะ
Monday, September 8, 2008
SCI LAB
โปรแกรม lightweight กว่า matlab มากๆ ใช้งานรื่นปรืดๆ
แต่ graphic ไม่ hiso เท่า matlab นะ ต้องทำใจหน่อย
Download
SCILAB ได้ที่ http://www.scilab.org/
ส่วนคู่มือภาษาไทนก็มีให้โหลดด้วยอะ ไม่หาใน google แล้วเจอมาที่นึง http://home.npru.ac.th/piya/webscilab/file/act/eb-scilab.pdf
ลองเล่นกันดูนะ
Friday, September 5, 2008
เวปสอนภาษาอังกฤษ สุดเจ๋ง
Monday, August 18, 2008
Wednesday, August 13, 2008
จำเป็นต้องเก่งทุกอย่างมั๊ย
เราจำเป็นที่ต้องเก่งไปทุกอย่างหรือไม่คำตอบ ไม่เห็นจำเป็นเลย แค่เราสามารถทำอะไรซักอย่างให้มันดีๆ เราก็มีคุณค่าแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้สมอง การลงแรง ถ้าทำอันไหนได้ดีก็ทำไปเถอะ แต่ถ้าเรียนก็ไม่เก่ง งานหนักๆ ก็ไม่อยากทำ ลองมาเป็นนักบริหารดูซิ อาจจะเข้าท่าก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นการบริหารเงิน เช่น การเล่นหุ้น แต่อันนี้ขอบอกไว้ก่อนเลย ว่านอกจากจะมีความรู้ ประสบการณ์ และต้องมีเงินเหลือ ด้วยถึงจะได้ดี ไม่ใช่มีแต่ดวงอย่างเดียวนะ เพราะการลงทุนมีความเสี่ยง อิอิ ต่อมาก็เป็นการบริหารคน คิดดูดิ ถ้าเราไม่เก่งอะไรเลย แต่สามารถใช้คนเก่งให้สามารถทำงานให้เราได้ นั่งก็อาจจะเป็นข้อสรุปบางอย่างได้ว่า ใครเก่งที่สุดกันแน่เนอะ หรือจะเป็นคนเก่งอยู่แล้ว เราก็ไม่จำเป็นต้องแข่งกันหรอก สู้เอาเรื่องที่คนอื่นเก่งกว่าเรามาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ ก็ถือว่าประสบความสำเร็จละ เพราะทุกคนไม่สามารถที่จำเก่งทุกเรื่องได้ ถึงเก่งได้ ก็ไม่สามารถทำงานทุกอย่างพร้อมๆ กันได้แน่นอน
Wednesday, August 6, 2008
ปัญหาการตัดคำไทยใน IE7
ทำงานด้วยคอมพิวเตอร์" ซึ่งหลายๆ บทความที่ลองหาดูจะเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ คือ ไป setting ค่าใน IE7 ของเครื่อง Client ซึงเป็นการแก้ปัญหาชั่วคราว
เราจึงเสนอวิธีการหนึ่ง ที่สามารถแก้ที่ต้นเหตุได้ คือ เปลี่ยน stylesheet or css ตรง font or font-family จาก MS Sans Serif เป็น Tahoma หวังว่าทุกคนจะ work เหมือนเรานะ
Wednesday, July 23, 2008
Wow Open Office
http://www.infoworld.com/article/08/07/15/29TC-office-alternatives_1.html นะครับ
Monday, June 30, 2008
ความคุ้นเคยเดิมๆ ได้กลับมาให้อะไรอีกครั้ง
สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำในการทำธุรกิจ Software House ให้ประสบความสำเร็จ
วันนี้มีโอกาสได้ไปงานสัมมนา Software Park Annual Conference 2008 ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์ ซึ่งเป็นงานที่ไม่น่าผิดหวังเลย เนื้อหาและวิทยากรที่มาพูดแต่ละคนไม่ธรรมดากันทั้งนั้น
มีอยู่หัวข้อหนึ่งที่ผมถูกใจมากก็คือ Dos & Don’ts for running a successful Software Company ที่ร่วมเสวนาโดยคุณราเมศวร์ ศิลปพรหม Managing Director, Softsquare Group คุณศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร President, MFEC (Public) Co., Ltd. และคุณโสภณ บุญยรัตพันธุ์ Managing Director, Vnet Capital Co., Ltd.สิ่งที่ทำให้ผมถูกใจก็คือวิทยากรก็คือคุณราเมศวร์ซึ่งเริ่มทำธุรกิจ Software House มาตั้งแต่ปี 1988 ด้วยเงินทุนเริ่มต้นสามแสนบาทและคนสามคน โดยที่คุณราเมศวร์ไม่ได้เรียนจบมาทางคอมพิวเตอร์ แต่จบวิศวกรรมเครื่องกล ปัจจุบันนี้บริษัทของคุณราเมศวร์มีพนักงาน 400 คน เป็นบริษัทเอกชน ไม่ได้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ และไม่เคยกู้เงินแบงก์เลย (มีแต่แบงก์มาขอให้กู้) แปลว่าบริษัทเติบโตมาจากเงินสามแสนบาทจริงๆ
ผมไม่แน่ใจว่าปัจจุบันคุณราเมศวร์อายุเท่าไหร่ แต่คิดว่ามีอาวุโสพอสมควร น่าจะราวๆ 50 ปีได้ เรียกได้ว่าอยู่ในวัยเดียวกับผู้บริหารระดับสูงสุดขององค์กรส่วนใหญ่เลย ถึงจะมีอายุแล้ว แต่ก็ยังดูแอคทีฟและมีพลังล้นเหลือ ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลยสำหรับคนที่เป็นผู้นำองค์กรที่เริ่มต้นตั้งแต่ 3 คน จนมาถึงระดับ 400 คนได้
ประเด็นที่คุณราเมศวร์พูดไว้อย่างน่าสนใจมีอยู่หลายเรื่องเลย เรื่องแรกที่ผมทึ่งมากๆ ก็คือการวาง Career Path ให้กับพนักงาน บริษัทที่ดีควรจะมี career path ให้พนักงานเห็นภาพว่าเขาจะเติบโตในหน้าที่การงานอย่างไร ตัวอย่างเช่น Programmer -> Senior Programmer -> System Analyst -> Project Leader -> Project Manager เป็นต้น แต่แนวคิดของคุณราเมศวร์นั้นต่างออกไป ก็คือคนในวงการไอทีมีไม่กี่คนหรอกที่จะอยู่กับบริษัทไปนานๆ อย่างมากก็ 7 ปี ดังนั้นวาง Career Path ไว้แค่ 7 ปีก็พอ หลังจากนั้นถ้าพนักงานไม่ลาออกเพื่อเปลี่ยนบริษัทก็ลาออกเพื่อไปตั้งบริษัทตัวเอง ซึ่งคุณราเมศวร์ก็จะสนับสนุนให้พนักงานออกไปตั้งบริษัท ถ้าให้ดีก็ควรชวนเพื่อนพนักงานคนอื่นๆ ไปด้วย และถ้าเงินทุนไม่พอก็ให้พนักงานรวมถึงคุณราเมศวร์เองมีส่วนในการลงทุนเพื่อถือหุ้นในบริษัทใหม่ได้ นอกจากนี้คุณราเมศวร์ก็จะคอยส่งงาน (Outsource) ให้ด้วย
จะเห็นได้ว่าวิธีการนี้เป็นการเปลี่ยนจากพนักงานมาเป็นหุ้นส่วน ทำให้พนักงานที่เดิมเป็นคนทำงานกินเงินเดือนไปวันๆ ก็กลายเป็นเจ้าของงานที่ต้องทุ่มเทรับผิดชอบงานอย่างเต็มที่ ลดภาระบริษัทที่จะต้องจ่ายเงินเดือนพนักงานให้ได้ทุกเดือน และยังช่วยให้บริหารกำลังการผลิตซอฟต์แวร์ได้ง่ายขึ้นด้วย ถ้าช่วงไหนที่มีงานเข้ามามากเกินกำลังพนักงาน 400 คนที่มีอยู่ ก็ใช้วิธี Outsource ให้บริษัทของพนักงานเก่าไปทำ ทำให้ไม่ต้องจ้างพนักงานใหม่เพิ่ม (ซึ่งจะตามมาด้วยภาระการจ่ายเงินเดือนให้พนักงานคนนั้นอีกนาน) ปัจจุบันนี้ ทั้งพนักงาน In-house และพนักงาน Outsource ที่คุณราเมศวร์มีประมาณ 800 คน และบริษัทที่เป็นพันธมิตรทั้งที่มีหุ้นและไม่มีหุ้นอีกหลายบริษัท เรียกได้ว่าเป็นเสมือนคลัสเตอร์ของอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ได้เลย
ประเด็นต่อมาที่ผมชอบก็คือวิธีการคิดบวก บริษัทซอฟต์แวร์จำนวนมากในไทยที่ประสบปัญหาแรงงานคุณภาพต่ำ เด็กจบใหม่มาสมัครเป็นโปรแกรมเมอร์แต่ทำงานอะไรไม่ได้เลย คุณราเมศวร์ก็จะให้เริ่มจากการทำงานง่ายๆ อย่างเขียน Report ไปก่อน เขียนได้อาทิตย์ละหนึ่ง Report ก็ยังดี ระหว่างนี้ก็เทรนไปเรื่อยๆ พอเดือนที่สี่ก็เริ่มให้ทำงานที่ยากขึ้น เดือนที่เจ็ดก็ยากขึ้นไปอีกขั้น ใครที่เทรนไปสักพักแล้วย้ายไปบริษัทอื่นก็ช่างมัน ดีซะอีก ประหยัดเงินเดือน
พอได้ฟังแบบนี้ทำให้ผมเข้าใจอะไรขึ้นเยอะเลย ก่อนหน้านี้ผมเคยทำงานเป็น Project Leader ใน Software House แห่งหนึ่ง ด้วยความที่เจ้านายเป็นอเมริกันและอยากทำให้บริษัทตัวเองเป็นแบบ Google คือมีแต่คนเก่งๆ เข้ามาทำงาน ก็เลยใช้วิธีให้เงินเดือนสูงๆ เพื่อจูงใจคนมีฝีมือ แต่พอบริษัทเริ่มพัฒนาโครงการหนึ่งให้ลูกค้า ซึ่งเป็นโครงการที่ใหญ่และมีเวลาจำกัดมาก ขณะที่มีทรัพยากรคือโปรแกรมเมอร์ไม่เพียงพอ (ตามหลักของ Project Management กรณีนี้คือขาของ Scope ยาวเกินไป ขณะที่ขา Time และ Cost/Resource สั้น ทำให้โครงการขาดความสมดุล) บริษัทก็เลยต้องเร่งจ้างคนเข้ามา ซึ่งที่นี่คือประเทศไทย ไม่ใช่อเมริกา ผลที่ได้ก็คือคนส่วนใหญ่ที่จ้างเข้ามาเป็นเด็กจบใหม่ที่ยังทำงานจริงไม่ได้ ต้องมีการเทรนก่อน แต่ก็ไม่มีเวลาที่จะมานั่งเทรนเพราะต้องเร่งทำโครงการให้เสร็จทันตามกำหนด ทำให้โครงการวุ่นวายยุ่งเหยิงมาก
เมื่อมองกลับไปที่บริษัทของคุณราเมศวร์ ทำให้เห็นว่าบริษัทเก่าผมมีข้อผิดพลาดในการบริหารงานอยู่สองจุด (อันนี้ไม่ได้จะเบลมบริษัทเก่านะครับ แต่อยากให้ดูเป็นกรณีศึกษา บ่อยครั้งที่ตัวอย่างของความล้มเหลวมีค่ามากกว่าตัวอย่างของความสำเร็จ) จุดแรกก็คือการประเมินคุณภาพแรงงานด้านไอทีในไทยเกินกว่าความเป็นจริง และคาดหวังไว้กับการตามล่าหาคนเก่ง จุดที่สองคือการขยายตัวเร็วเกินไป รับงานใหญ่เข้ามาทำโดยที่ทรัพยากรในบริษัทยังไม่พร้อม ขณะที่การบริหารของคุณราเมศวร์จะไม่เจอข้อผิดพลาดสองอย่างนี้ เพราะไม่ฝากความหวังไว้กับคนเก่ง ยอมรับความจริงว่าเด็กจบใหม่จำนวนมากยังเริ่มทำงานจริงไม่ได้ ต้องมีการเทรนให้ก่อน และมีการบริหารกำลังการผลิตได้ดี ถ้ามีงานเข้ามาล้นมือก็สามารถส่งต่อให้บริษัทพันธมิตรได้
การคิดบวกอีกอย่างหนึ่งของคุณราเมศวร์ที่ผมชอบก็คือเรื่องการทุ่มเททำงานของคนไทย วิศวกรของ Apple จะมีเสื้อยืดที่สกรีนข้อความว่า 90 hours/week ซึ่งหมายถึงการทุ่มเททำงานอย่างหนักเพื่อให้ผลิตภัณฑ์ออกมาดีที่สุด ขณะที่คนไทยเราทำงานสัปดาห์ละ 5 วัน วันละ 8 ชั่วโมง แต่ทำจริง 6 ชั่วโมง แปลว่าเราทำงาน 30 hours/week ซึ่งคุณราเมศวร์ก็มองว่าดีแล้ว ขืนให้ทำมากก็ยิ่งมีบั๊กมาก นั่งทำบั๊กสองวัน แก้บั๊กอีกสามวัน หมดสัปดาห์พอดี (ฟังดูเหมือนตลกร้าย…แต่จริง)
ขอย้อนกลับมาที่การวาง Career Path ให้พนักงาน 7 ปี และสนับสนุนให้พนักงานตั้งบริษัทเอง คำถามก็คือพนักงานจะมีเงินมาตั้งบริษัทได้เหรอ วิธีการที่คุณราเมศวร์สอนพนักงานก็คือให้ตั้งเป้าหมาย (อย่างเหมาะสม) ว่าในแต่ละเดือนจะมีเงิน “เหลือ” กี่บาท อย่าตั้งเป้าหมายว่าจะมีรายรับหรือเงินเดือนกี่บาท เช่น เงินเดือน 15,000 บาท ตั้งใจว่าจะเหลือเงิน 4,000 บาททุกเดือน ก็ต้องพยายามทำให้ได้ ถ้าเหลือไม่ถึงก็ให้ดูว่ามีรายจ่ายอะไรบ้าง ค่ารถ ค่ากิน ค่าดูหนัง ค่าเที่ยวผับ ฯลฯ ให้เรียงลำดับความสำคัญจากมากไปน้อย อย่างค่าเที่ยวผับนี่เอาไว้สุดท้ายเลย เวลาใช้เงินก็ใช้กับสิ่งที่สำคัญก่อน ถ้าเงินเหลือก็ค่อยไปเที่ยวผับ ถ้าไม่ใช้เงินกับสิ่งไม่สำคัญแล้วยังเหลือเงินไม่ถึงเป้า ก็ให้ดูว่าจะลดอะไรได้อีก ถ้ากินข้าวแถวที่ทำงานแล้วใช้เงินมากเกินไปก็ให้ห่อข้าวจากบ้านมากิน ถ้าทำทุกวิธีแล้วก็ยังเหลือเงินไม่ถึงเป้า ก็ให้เข้าไปพูดกับพ่อว่า “พ่อครับ พ่ออยากให้ผมเป็นคนที่มีเป้าหมายและพยายามทำให้บรรลุเป้าหรือเปล่าครับ ถ้าพ่อให้เงินผม ผมก็จะเป็นได้ครับ”
ฟังดูเหมือนตลกนะ แต่นี่คือการสะท้อนวิธีคิดแบบ Can Do Attitude เมื่อตั้งเป้าหมายแล้วต้องหาทางทำให้ได้ ต้องปรับแผนตลอดเวลาเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้แล้วก็เลยปรับลดเป้าหมายลง ซึ่งวิธีคิดแบบนี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ
เมื่อสามารถเก็บเงินได้แล้ว ก็ให้เอาเงินไปลงทุนในบริษัทของพนักงานที่ออกไปตั้งบริษัท ได้ผลตอบแทนปีละ 10% - 30% เก็บเงินเพิ่มและลงทุนทบต้นไปเรื่อยๆ แค่ 7 ปีก็จะมีเงินล้าน เพียงพอที่จะออกไปเปิดบริษัท ทำบริษัทไปจนอายุ 40 ปีจะมีเงิน 10 ล้าน ถ้าทำถึงอายุ 50 ปีจะมีเงิน 30 ล้าน
ประเด็นต่อมาคือการบริหารผลประโยชน์ของ Stakeholders ก็คือบริษัทจะต้องทำให้ลูกค้าพอใจกับสิ่งที่เขาได้รับ ต้องทำให้พนักงานพอใจกับงานและเงินเดือน ซึ่งพนักงานหลายคนอยากทำงานสบายๆ เงินเดือนเยอะๆ ถ้าบริษัททำได้ก็ทำ ถ้าทำไม่ได้ก็ให้ไล่พนักงานมันออกไปซะ (555) และบริษัทต้องทำให้ผู้ถือหุ้นพอใจกับผลตอบแทน ถ้าเป็นผู้ถือหุ้นที่ลงแรงด้วยก็ควรให้สัก 30% แต่ถ้าเป็นผู้ถือหุ้นที่ลงเงินอย่างเดียวก็เอาไปแค่ 10% พอ
เรื่องสุดท้ายคือการรับงานจากลูกค้า ถ้าลูกค้าต่อราคา คุณราเมศวร์จะบอกว่าให้ไปต่อคิวด้านหลังนู่นเลย เพราะอย่างที่รู้กันคือธุรกิจซอฟต์แวร์มี Demand มากกว่า Supply มีบริษัทที่ต้องการคนมาพัฒนาซอฟต์แวร์ให้อยู่เยอะแยะ ลูกค้ารายไหนที่ต่อราคาก็รอไปหน่อยละกัน ถ้าลูกค้าถามว่าทำไมถึงคิดราคาสูงเท่ากับที่บริษัทยักษ์ใหญ่คิด คุณราเมศวร์ก็จะตอบว่า “ถ้าผมคิดราคาถูกกว่าบริษัทใหญ่แล้วผมจะเอาอะไรกิน”
ใครที่สนใจทำงานกับบริษัทนี้ก็ลองสมัครไปดูนะครับ ผมคิดว่าเงินเดือนคงไม่มาก แต่สิ่งที่ได้คงเป็นความรู้และประสบการณ์หลายอย่าง ทั้ง Hard Skill ที่เป็นความรู้ตรงด้านไอที และ Soft Skill อย่างเรื่องวิธีการบริหารจัดการชีวิตตัวเอง
จะเห็นได้ว่าบริษัทนี้ไม่ยอมให้ลูกค้าต่อราคา ทำให้มีรายรับสูง และอาจจะจ่ายเงินเดือนพนักงานน้อย ซึ่งทำให้รายจ่ายต่ำ ส่วนต่างระหว่างรายรับกับรายจ่ายซึ่งก็คือกำไรก็เลยกว้าง บริษัทเลยมีกำไรเยอะและสามารถขยายกิจการจนเติบใหญ่ได้โดยไม่ต้องกู้แบงก์เลยที่มา http://blog.macroart.net/2008/06/do-and-dont-for-running-successful-software-company.html (ต้องขออนุญาติเจ้าของกระทู้ด้วยนะครับ ขอมาโพสเก็บไว้เตือนใจ คุณอภิศิลป์ ตรุงกานนท์ เขียนได้ดีจัง)
Sunday, June 15, 2008
My Notebook
Monday, June 9, 2008
จะจิตตกไปถึงไหนกัน
โย่ว ปุณสู้ๆ :)
Sunday, June 8, 2008
การทำ Thesis
การทำวิทยานิพนธ์ เราต้องรู้สิ่งต่อไปนี้
- เราจะทำเรื่องอะไร สาขาไหน และทำเพื่ออะไร
- ขอบเขตของงานวิจัย ซึ่งอันนี้สำคัญมาก ต้องระบุให้ชัดเจนนะ
- ตัวชี้วัด เพื่อใช้เปรียบเทียบกับงานวิจัยหรือ algorithm ที่เคนมีอยู่ในอดีด กับงานวิจัยของเรา
- รูปแบบของผลงาน เมื่อทำเสร็จแล้ว
- สมมติฐานต่างๆ ที่กำหนดขึ้นเพื่อทำงานวิจัย เช่น เราไม่สนใจตัวแปรอะไร ต้องระบุไว้ด้วย
- ข้อจำกัดของงานวิจัย หรือทฤษฏีที่นำมาใช้
- การนำงานวิจัยชิ้นนี้ไปใช้ต่อ เมื่อทำเสร็จแล้ว
Thursday, June 5, 2008
Monday, June 2, 2008
Java Technology Concept Map
เกี่ยวกับ bug ที่สร้างขึ้น แต่ก็ยังหาไม่เจอซักทีเลย แต่ก็ยังโชคดีได้ไปเจอของดีของ sun เข้า นั่นคือ Java Technology Concept Map ถ้าสนใจสามารถดูได้จาก link ได้เลยนะ http://java.sun.com/new2java/javamap/intro.html สำหรับ pdf format: http://java.sun.com/new2java/javamap/Java_Technology_Concept_Map.pdf
Tuesday, May 20, 2008
HP LaserJet P1006
Monday, May 12, 2008
:: Goal :: อีก 7 ปี ต้องมีบริษัท
- มีบริษัท หรือ ธรุกิจเป็นของตนเอง
- ซื้อบ้านใหม่
- ซื้อรถยนต์ใหม่
- อยากมีงานวิจัยที่มีคนหลายคนยอมรับ และเป็นประโยชน์แก่คนอื่น
- อยากเที่ยวแบบเรือสำราญอีกครั้ง
- อยากนั่งเครื่องบิน โดยที่ไม่ต้องใช้เงินของตัวเอง
- อยากรวย มีเงินเก็บเป็นก้อนซักหน่อย ( 3 ล้าน น่าจะ ok)
- อยากให้สลากออมสินที่ซื้อไว้ถูกรางวัลบ้าง
- อยากเรียนให้ได้ปริญญาโท 2 ใบ หรือ ปริญญาเอกอีกซักใบ
- อยากเขียนหนังสือขาย
- อยากทำงานอย่างอื่นเป็นที่ไม่เกี่ยวกับด้าน software development
Wednesday, April 30, 2008
มาวางแผนการเงินกัน
วิธีการนั้น ไม่มีอะไรตายตัวที่แน่นอน สามารถปรับแต่งได้ขึ้นอยู่แต่ละบุคคล แต่สำหรับเรานั้น มีแนวทางดังนี้
- กำหนดเงินที่ต้องการเก็บในแต่ละเดือน โดยไม่จำเป็นต้องเท่ากันทุกเดือนก็ได้นะ เพราะการใช้ชีวิตประจำวันของแต่ละเดือนคงไม่เหมือนกัน เดือนนี้อาจจะเที่ยวเยอะหน่อย เดือนหน้าอาจจะต้องเรียน ซึ่งมันก็จะมีรายจ่ายที่แตกต่างกัน
- ก่อนจะซื้อของอะไร ต้องคิดให้ดีก่อนว่ามันจำเป็นแค่ไหน และถ้าซื้อมาแล้วมันมีประโยชน์อย่างไรต่อเราบ้าง
- ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น และไร้สาระ
- บันทึกรายรับ รายจ่าย ในแต่ละวัน โดยแบ่งเป็นหมวดหมู่ให้ชัดเจน อย่างเช่น ค่าอาหาร ค่าที่พัก ค่าโทรศัพท์ ค่าเดินทาง ค่าหนังสือ ค่าของใช้ต่างๆ
- เก็บสถิติในแต่ละเดือนแล้วนำมาวิเคราะห์ย้อนหลัง เพื่อทำเป็นสถิติในแต่ละปี และยังเป็นการประมาณค่าใช้จ่ายที่เราจำเป็นต้องใช้ในแต่ละเดือนอีกด้วย
- ข้อนี้ก็สำคัญ เราต้องตั้งเป้าหมายเงินเก็บที่ต้องการมีในอนาคต เช่นในช่วง 1 ปี, 5 ปี, 10 ปีข้างหน้าว่าต้องการมีเงินเก็บเท่าไหร่ เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เราไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ นั่นคือ รวย...
จากทั้งหมด 6 ข้อ จะเห็นว่าไม่ยากเลย ถ้าเราคิดว่าอยากจะรวย อยากจะมีเงินเก็บ ขึ้นอยู่กับว่า จะเริ่มต้นเมื่อไหร่เท่านั้นเอง
Tuesday, April 8, 2008
มือสมัครเล่น VS มืออาชีพ
คุณรู้มั้ย มืออาชีพ ต่างกับมือสมัครเล่นตรงไหน ?
- มือสมัครเล่น จะทำงานไม่สำเร็จ แม้ว่าเค้าอยากจะทำงานนั้นมากแค่ไหนก็ตาม และมีเหตุผลร้อยพัน ว่าทำไมมันถึงไม่สำเร็จ
- ส่วนมืออาชีพนั้น จะทำงานสำเร็จเสมอ แม้ว่าเค้าจะไม่อยากทำงานนั้นๆ เลยก็ตาม ไม่ว่าจะเบื่อหน่าย เหนื่อย ใดๆ ก็ตามแต่ งานจะเสร็จเสมอ แม้ว่าบางครั้งเค้าก็บอกเหตุผลไม่ได้เหมือนกัน
Thursday, April 3, 2008
เรื่องของ "น้ำ"
ร่างกายของคนเราประกอบด้วยน้ำ 70 กว่าเปอร์เซนต์ เลือดเราประกอบด้วยน้ำ 90กว่าเปอร์เซนต์ กระดูกเราก็ประกอบด้วยน้ำ 22 เปอร์เซนต์ ร่างกายเราเสียน้ำวันละ 2 ลิตรเศษแล้วรับน้ำเข้าไปเพียงพอหรือไม่ ถ้าไม่พอเราก็ถือว่าขาดน้ำร่างกายและอวัยวะภายในจะรวนผิดปกติไปหมด เลือดเราจะข้นหนืด ยากที่หัวใจจะสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกายส่วนต่างๆของร่างกายหัวใจเองนั่น แหละจะตีบตันเสียก่อน ต้องทำบายพาสกันวุ่นวาย ความจำก็จะเสื่อมหรือเป็นอัลไซเมอร์เพราะเลือด เลี้ยงสมองไม่พอ เส้นเลือดก็จะตีบตันหมดหรือไม่มีเลือดจะขึ้นไปเลี้ยง จากประสบการณ์ที่พบคนไข้ที่เป็นโรคความจำเสื่อมเป็นถึงระดับผู้บริหารใหญ่ๆก็หลายท่าน ดื่มน้ำวันละ2-3 แก้ว ไม่เกิน 500 ซี.ซี. เลือดก็ข้นหนืด เต็มไปด้วยไขมัน
สังเกตุได้หัวตาเหมือนกับเอาพู่กันป้ายสีขาวไว้และก็ฟันธงได้เลยว่าทุกรายถ้าดื่มน้ำอย่างนี้คลอเรสเทอรอลสูงทุกคน รอให้เส้นเลือดอุดตันได้เลย เมื่อไปหาหมอหมอก็จะจ่ายยาละลายลิ่มเลือดให้กิน มันก็เหมือนเราเอาสารส้มแกว่งในตุ่มน้ำเพื่อให้น้ำใสตะกอนเมื่อมันนอนก้นน้ำก็จะใส แต่ถ้าเอาอะไรไปแกว่งทำให้น้ำกระเทือน ตะกอนก็ยังจะลอยขึ้นมาทำให้น้ำขุ่นอีกอยู่ดีเช่นเดียวกัน เมื่อเรากินยาเลือดก็จะใส แค่ตะกอนในร่างกายมันยังไม่ออก ยังนอนก้นอยู่ใน ร่างกายเราดังนั้นเราต้องใช้น้ำพาตะกอนเหล่านั้นออกมาให้ได้ ไม่อย่างนั้นมันก็จะกลับไปอุดตันเส้นเลือด เราอีก
เมื่อร่างกายขาดน้ำลำไส้ก็แห้ง ไม่มีน้ำที่จะพอเอาอุจจาระออกมาได้ของเสียก็จะสะสมอยู่ในลำไส้และ ลำไส้ก็ดูดซึมของเสียนั้นกลับเข้าร่างกายอีก เลือดเราก็ยังสกปรกและข้นหนืดมากขึ้นไปอีก และลอง พิจารณาดูครับว่าเลือดที่เสียเมื่อเข้าไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายแล้วนั้น จะให้เกิดปัญหาตามมาอีกมาก มายเพียงใดที่ถูกแล้วเราควรจะอุจจาระ1-3 ครั้งทุกๆวัน ออกมาเป็นเส้นไม่เล็กนัก ปริมาณพอสมควรกับอาหารที่เราทานเข้าไป ไม่ใช่ทานเข้าไป 1 กิโลกรัม ถ่ายออกมา 1 ขีด ที่เหลือหายไปไหนหมด มันเข้าไปบำรุงร่างกายเราทั้งหมดหรือ ถ้าเป็นอย่างนั้นเราคงตัวโตเท่าช้างแน่ การที่รอบเดือนหายไป 5-6 เดือนหรือมาๆหยุดๆ แล้วแต่อารมณ์นั้นไม่ใช่เรื่องปกติของผู้หญิงทั่วไป ที่ถูก แล้วรอบเดือนจะช้าเร็วไม่ควรเกิน 7 วันถ้าผิดไปจากนี้ถือว่าไม่ถูกต้อง ยกเว้นแต่ตั้งครรภ์สำหรับดาราสาวท่านนี้ ดื่มน้ำน้อยมาก เลือดคงจะข้นหนืดผนังมดลูกคงจะแห้งไม่ลอกหลุดออกมาเมื่อมีไข่ ตกและไม่ได้รับการผสมพันธุ์เลือดนั้นก็ยังสะสมเป็นของเสียอยู่ที่ผนังมดลูกเดือนแล้วเดือนเล่า เมื่อช่อง ทางการขับของเสียดำเนินไม่ได้ตามธรรมชาติร่างกายก็จะสร้างรั้วขอบเขตเป็นถุง เป็นเนื้องอกมาหุ้ม ห่อของเสียนั้นไว้ของเสียก็จะค่อยๆกลายเป็นเนื้องอกและกลายเป็นมะเร็งในที่สุด
ช่องทางในการขับของเสียออกจะมีอยู่ 5 ช่องทางด้วยกันคือ
1. ไต ขับออกมาทางปัสสาวะ
2. ลำไส้ใหญ่ ขับออกมาทางอุจจาระ
3. ปอด ขับออกมาทางลมหายใจ
4. ผิวหนัง ขับออกมาทางเหงื่อ
5. รอบเดือน ขับออกมาทางประจำเดือน
เมื่อช่องทางการขับของเสียไม่สมบูรณ์หรือถูกปิดกั้นมันก็จะต้องพยายามหาทางออกให้ได้ เช่น ออกมาเป็น สิว ฝ้า กระ ฝี ริดสีดวง สิ่งเหล่านี้เป็นของเสียที่ร่างกายพยายามขับออกมาทั้งนั้นดังนั้นถ้าเรามีอาการ ดังที่กล่าวมา ก็ขอให้เราจงเข้าใจด้วยว่าร่า?กายเรามีของเน่าเสียอยู่ภายในแล้วมันเป็นสัญญาณเตือนภัย ที่เราไม่ควรมองข้าม หรือกินแต่ยา ฉีดยากดอาการเหล่านี้ไว้ไม่ให้แสดงออกเพราะนั่นไม่ใช่วิธีการรักษา หรือบำบัดโรคต่างๆให้หายไป แต่กลับเป็นการทำให้โรคหรืออาการนั้นรุกคืบไปเรื่อยๆเหมือนรุกใต้ดินโดย ที่เราไม่รู้สึกอะไร จะรู้สึกตัวอีกทีก็ต่อเมื่อสายเสียแล้ว...
-------------------------------------------------------------------------------------------------
ที่มา : นิตยสารตั้งตัว ฉบับเดือน เมษายน
Wednesday, April 2, 2008
งานใหม่ และสิ่งใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น
Friday, February 1, 2008
กินกบตั้งแต่เช้า
กินกบตั้งแต่เช้า
Eat That Frog